'อุ๊งอิ๊ง' รอต้อนรับนายกฯ เนเปลเยือนไทยครั้งแรกรอบกว่า 60 ปี

นายกฯ เตรียมให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีเนปาลเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในรอบกว่า 60 ปี พร้อมร่วมยกระดับความร่วมมือในหลายมิติ

26 มี.ค.2568 - นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลเตรียมให้การต้อนรับ นายเค พี ศรรมะ โอลี นายกรัฐมนตรีเนปาล และภริยา โดยมีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ 1-5 เมษายน 2568 นี้ ตามคำเชิญของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถือเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีเนปาลนับตั้งแต่ไทยกับเนปาล สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันปี 2502 โดยในวันพุธที่ 2 เมษายน น.ส.แพทองธาร พร้อมคณะรัฐมนตรี จะให้การต้อนรับนายกรัฐมนตร เนปาล ที่ทำเนียบรัฐบาล ในพิธีการต้อนรับอย่างเป็นทางการ รวมทั้งการหารือข้อราชการ การร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ การแถลงข่าวร่วม และน.ส.แพทองธาร จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีเนปาล และภริยา

นายจิรายุ กล่าวว่า การเยือนอย่างเป็นทางการในครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือกัน เพื่อยกระดับความร่วมมืออย่างรอบด้านในหลายสาขา โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน เกษตรกรรม สาธารณสุข การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมบริการ รวมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความท้าทายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคี นอกจากนี้ ในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน นายกรัฐมนตรีเนปาลจะเข้าร่วมการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ทักษิณ' แฮปปี้รับปีใหม่ในเรือนจำ ลูกเยี่ยมเล่าย้อนอดีตสมัยไทยรักไทยได้เบอร์9 กวาด 377 เสียง

‘อิ๊งค์’ เผย ‘ทักษิณ’ สดชื่นแฮปปี้รับปีใหม่ 2569 พร้อมเล่าความหลังปี 2548 พรรคไทยรักไทยสมัยทักษิณ จับได้เบอร์ 9 กวาดเสียง สส.377 เสียง มองเพื่อไทยได้เบอร์ 9 เป็นเลขหลักเดียว คนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งจำง่าย เลือกง่าย ให้กำลังใจเพื่อไทยคว้าชัยเลือกตั้งใหญ่

'นักประวัติศาตร์' ร่อนจม.เปิดผนึกถึงนายกฯแนะ 6 ขั้นตอน ขอคืน 'ปราสาทพระวิหาร'

นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์เฟซบุ๊ก เผยแพร่ จดหมายเปิดผนึก เรื่อง ขอคืนปราสาทพระวิหารและใช้ข้อสงวนสิทธิ์ เรียน ฯพณฯท่านนายกรัฐมนตรี มีใจความว่า