‘พิชาย’ ตีแสกหน้า ‘อ้วน’ อย่าเบนเบี่ยงกรณีนายกฯใช้เงินหลวงไปต่างประเทศ

25 พ.ค. 2568 – รศ. ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) 

วันก่อนอ่านการสัมภาษณ์ของนายภูมิธรรม ซึ่งเป็นการตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องการใช้งบประมาณของนายกรัฐมนตรีไปต่างประเทศ โดยเขาใช้กลยุทธ์สามแนวทาง คือ การโจมตีผู้วิจารณ์ว่าขาดความรับผิดชอบในสื่อสังคม การอ้างความมั่งคั่งของนายกฯ ว่าไม่จำเป็นต้องเบียดบังงบประมาณ และการอ้างความลับทางการทูตที่ไม่สามารถเปิดเผยได้

ลองเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจกับสิ่งที่นายภูมิธรรมกำลังพยายามทำ

1 เขาไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงเกี่ยวกับความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ แต่กลับใช้วิธีการเบี่ยงประเด็นแบบเป็นระบบ นี่คือสัญญาณแรกที่เราควรระมัดระวัง เพราะในระบอบประชาธิปไตย การตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้เงินภาษีไม่ใช่การทำลายล้าง แต่เป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชน

2 การที่นายภูมิธรรมเรียกการตรวจสอบว่า “ดราม่า” นั้นสะท้อนความเข้าใจที่บิดเบือนเกี่ยวกับบทบาทของการวิจารณ์ในสังคม เขาทำให้การตั้งคำถามที่ชอบธรรมดูเหมือนเป็นการแสวงหาความโด่งดัง หรือการสร้างความวุ่นวายโดยไม่มีเหตุผล วิธีการนี้เป็นอันตรายเพราะมันพยายามทำให้ประชาชนรู้สึกผิดที่ใช้สิทธิในการตรวจสอบ

3 ประเด็นที่ร้ายแรงที่สุดคือการใช้ความมั่งคั่งเป็นข้อแก้ตัว เหตุผลที่ว่า “คนรวยไม่ต้องขโมย” นั้นขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของการตรวจสอบถ่วงดุล ลองคิดดูว่าหากเราใช้ตรรกะนี้ คนที่มีฐานะดีก็จะได้รับการยกเว้นจากการตรวจสอบ ในขณะที่คนธรรมดาต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตลอดเวลา นี่เป็นการสร้างกฎเกณฑ์แบบสองมาตรฐานที่ไม่ยอมรับได้

ยิ่งไปกว่านั้น การอ้างความมั่งคั่งยังเป็นการดูหมิ่นความฉลาดของประชาชน เสมือนว่าเราไม่เข้าใจว่าการทุจริตไม่ได้เกิดจากความยากจนเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากความโลภ ความต้องการอำนาจ หรือแม้แต่ความเคยชินกับการใช้ทรัพยากรของผู้อื่น ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างมากมายของผู้นำที่ร่ำรวยแต่ยังคงใช้อำนาจในทางที่ผิด

4 การอ้างความลับทางการทูตก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แม้ว่าการทูตจะมีส่วนที่ต้องเก็บเป็นความลับจริง แต่การนำข้ออ้างนี้มาใช้ปิดกั้นการตรวจสอบทั้งหมดนั้นเกินขอบเขต ในประเทศที่มีระบบประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง แม้การเดินทางของผู้นำจะมีส่วนที่เป็นความลับ แต่การใช้งบประมาณก็ยังคงต้องมีการรายงานและตรวจสอบได้

5 สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือการใช้คำว่า “วิญญูชน” เพื่อแบ่งแยกผู้คน เขาสื่อให้เข้าใจว่าคนฉลาดจะไม่วิจารณ์ ส่วนคนที่วิจารณ์นั้นขาดปัญญา นี่เป็นกลยุทธ์ที่อันตรายเพราะมันพยายามสร้างความอับอายให้กับการใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็น เหมือนกับการบอกว่าคนดีไม่ควรสงสัยผู้นำ

6 ที่สำคัญที่สุดคือประโยคที่ว่า “การบริหารงานไม่ใช่สิ่งที่จะมาพูดในที่สาธารณะ” นี่เป็นการขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับหลักการของรัฐบาลแบบเปิด ในระบอบประชาธิปไตย การบริหารงานด้วยเงินภาษีต้องสามารถตรวจสอบได้ การปิดบังข้อมูลโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนและสมเหตุสมผลนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน

7 การสัมภาษณ์นี้สะท้อนปัญหาโครงสร้างที่ลึกกว่าการเมืองพรรคไหนพรรคหนึ่ง มันแสดงให้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในอำนาจยังคงมองการตรวจสอบเป็นภัยคุกคาม ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประชาธิปไตยที่สุขภาพดี สิ่งนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาความโปร่งใสและความรับผิดชอบในสังคมไทย

สำหรับเราในฐานะประชาชน การสัมภาษณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนให้เราไม่หลงกลยุทธ์การเบี่ยงประเด็น เราต้องยืนยันสิทธิในการตรวจสอบ ไม่ว่าผู้นำจะร่ำรวยหรือยากจนเพียงใด และไม่ยอมให้การอ้างความลับกลายเป็นเครื่องมือปิดปากการวิจารณ์ เพราะประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งต้องอาศัยประชาชนที่กล้าตั้งคำถามและผู้นำที่พร้อมตอบ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แปลกใจ 'ทักษิณ' เก็บตัวเงียบผิดวิสัย รัฐบาลผวาสั่งผู้ว่าฯสกัดม็อบคาดคนมืดฟ้ามัวดิน

'จตุพร' แปลกใจ 'ทักษิณ' เก็บตัวเงียบ ผิดวิสัยคนเอาแต่พูด ไม่โผล่หน้าช่วยกู้ศรัทธานายกฯ ดิ่งเหว ชี้กระแสบริจาคเงินแค่วันเดียวมาแรงทะลุ 10 ล้าน คาด 28 มิ.ย. ปชช.สำแดงพลังแผ่นดินเต็มอนุสาวรีย์ชัยฯ ส่วนรัฐบาลผวา สั่ง ผวจ.สกัด ขู่จังหวัดใดปล่อยคนมาชุมนุม ผวจ.ต้องรับผิดชอบ ส่วนศาล รธน.นัดประชุมด่วน รับ-ไม่รับคำร้อง สว.ถอดถอนนายกฯ ผิดจริยธรรม-หยุดปฎิบัติหน้าที่