ถอดถ้อยคำ 'ทักษิณ' ไม่ใช่เพียงการสื่อสารธรรมดา คือ 'คำเสนอ' เพื่อแลกกับพื้นที่ทางอำนาจ

11ก.ค.2568 - ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อาจารย์คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

ในการเมืองที่รัฐธรรมนูญเป็นเพียงบทประกอบฉาก และผู้เล่นหลักกลับไม่ต้องมีตำแหน่งในระบบ นายทักษิณ ชินวัตร กลับมาอีกครั้ง

ในฐานะ “พ่อนายกฯ” ที่อัดแน่นด้วยสายสัมพันธ์ และความสามารถในการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกิจ

“ผมอยู่ ผมรับรู้ทุกเรื่อง และจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง” ไม่ใช่ถ้อยคำของข้าราชการประจำ แต่คือคำประกาศจากผู้อยู่เหนือระเบียบราชการที่ยังไม่ลาโรง

การกล่าวเช่นนี้ในระบอบที่แยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับบุคคลไร้ตำแหน่งทางการ น่าจะทำให้เกิดคำถามว่า “อยู่ในฐานะใด?”

แต่ในระบบที่ใคร ๆ ก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลังได้ คำถามนี้กลับกลายเป็นเรื่องต้องห้าม หรืออย่างที่เจ้าตัวกล่าวว่า “อย่าไปคิดมาก”

เมื่อทักษิณยืนยันว่า “การจะทำงานกับใคร ต้องไม่ขัดนโยบายหลัก ๆ โดยเฉพาะสถาบัน” เขาไม่ได้พูดกับมวลชนทั่วไป หากแต่ส่งสัญญาณตรงถึงรัฐราชการประเพณี เครือข่ายองค์กรอิสระ และชนชั้นนำอนุรักษนิยมว่า

“พรรคของผมไม่ใช่ภัยต่อคุณหรอกครับ” คือความพยายามวางตำแหน่งตัวเองให้อยู่ในหมวด “ผู้บริหารที่เชื่อฟัง” มากกว่าจะเป็นนักการเมืองที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง แต่ “วจี“ กับ “มโน” และ “กรรม” จะตรงกันหรือไม่ ใครเล่าจะรู้ได้

ที่น่าสนใจคือการใช้สีในการแบ่งเขตทางอุดมการณ์ “แดงกับส้มเป็นปลาคนละน้ำ” คือวาทกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่พยายามตัดตอนความสัมพันธ์กับพรรคประชาชน และวางตัวเองให้อยู่ในกลุ่มที่ “แตะได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียว”

“กลืนเลือด 3-4 ปี๊บก็ว่าไป” คือการนิยาม “ความอดทนเพื่ออำนาจ” แบบไม่ต้องใช้หลักการ
ถ้อยคำนี้สะท้อนยุทธศาสตร์การอยู่รอดทางการเมืองด้วยสมการ ไม่ใช่ด้วยเจตจำนงของประชาชน

“เสียงปริ่มน้ำก็เพิ่มได้ เดี๋ยวก็มาเอง” กลายเป็นสโลแกนที่พอจะวางใจได้ในรัฐสภาแห่งการต่อรอง มากกว่ารัฐสภาแห่งความชอบธรรม

ในระบบแบบนี้ พรรคไม่ต้องมีนโยบายชัด ขอแค่มีเครื่องคิดเลขดีพอ ส่วนประชาชนจะคิดยังไง ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเท่ากับการนับเสียงให้ครบเพื่อจับมือใครดี หรือเขี่ยใครทิ้ง

หนึ่งในช่วงที่น่าจับตาคือเมื่อทักษิณกล่าวว่า “ไม่ต้องรอสถานการณ์ทางการเมือง พ่อนายกอยู่นี่” ถ้อยคำนี้เปิดเผยรอยร้าวของระบบราชการที่ “ต้องมีผู้ใหญ่รับรอง” จึงจะทำงานได้ดี

เป็นการยืนยันว่า รัฐไทยยังไม่สามารถเดินหน้าได้ด้วย rule of law หากยังคงผูกติดกับบุคคลที่ “ไว้ใจได้” มากกว่าสถาบันทางการเมืองที่น่าเชื่อถือ

บทบาทของทักษิณในการประชุมกับลูกสาว ชี้นำนโยบาย และประกาศว่าจะทำในสิ่งที่ถูกต้องนั้น แสดงให้เห็นว่า การเมืองไทยยังมี “รัฐในเงา” ที่ทำงานคู่ขนานกับรัฐบาลในระบบ

รัฐบาลจริงอาจอยู่ในทำเนียบ แต่รัฐบาลที่มีอิทธิพลอาจอยู่ในบ้านพักส่วนตัว หรือสนามกอล์ฟใดสนามกอล์ฟหนึ่ง

การเมืองไทยไม่ใช่แค่ “เด็กไม่โต” แต่คือ “ผู้ใหญ่ไม่ยอมวางมือ”

การมีอยู่ของอดีตผู้นำอย่างทักษิณ ไม่ใช่ปัญหาในตัวมันเอง หากแต่สะท้อนระบบที่ยังผูกติดกับบุคคล ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ และการวางใจส่วนตัวมากกว่าหลักนิติธรรม

ถ้อยคำของทักษิณจึงไม่ใช่เพียงการสื่อสารธรรมดา แต่มันคือ “คำเสนอ” เพื่อแลกกับพื้นที่ทางอำนาจ

ในระบอบลูกผสมที่ยังลังเลจะโต การเมืองไม่เคยปล่อยมือจากอดีต และประชาชนก็ยังต้องมองเห็นอนาคตผ่านเงาของใครบางคน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อิ๊งค์' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ' สุขสันต์วันพ่อ อดทนไว้ เราจะได้ไปเที่ยวรอบโลกด้วยกัน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมระบุข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

'ทักษิณ' ร่วมเวที 'เสก โลโซ' ร้องเพลงใจสั่งมา ในเรือนจำกลางคลองเปรม

"ทักษิณ" ขึ้นเวทีเรือนจำฯ ควงไมโครโฟนร้องเพลง "ใจสั่งมา" บรรยากาศอบอุ่นมวลความสุข เพื่อนผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ต่างลุกโชว์สเต็ปแด๊นซ์

เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ศาลรับอุทธรณ์คดี ม.112 ให้ 'ทักษิณ' ยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายใน 15 วัน

พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ได้ยื่นคำอุทธรณ์คดี ที่ศาลอาญายกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ