นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สรุปการไต่สวนคดีนักโทษชั้น 14 ครบทั้ง 7 นัด เผยข้อพิรุธกระบวนการส่งตัวรักษานอกเรือนจำ อ้างโรคหัวใจแต่ผ่าตัดนิ้วล็อก ศาลฎีกานัดฟังคำสั่ง 9 ก.ย. 2568 พร้อมเรียกผู้บัญชาการเรือนจำเข้าร่วมฟังคำวินิจฉัย
สรุปรวมทั้งหมดทุกนัดการไต่สวนชั้น14 จำนวน 7 นัด
31 กรกฎาคม 2568 - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่าสรุปรวมทั้งหมดทุกนัดการไต่สวนชั้น14
การไต่สวนคดีชั้น 14 เป็นการไต่สวนที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้เปิดการไต่สวน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงว่า ได้มีการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือไม่
โดยเริ่มไต่สวนครั้งแรก 13 มิถุนายน 4 ก.ค. 8 ก.ค. 15 ก.ค. 18 ก.ค. 25 ก.ค. และ30 ก.ค. เท่าที่ผมติดตาม มีการไต่สวนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพคนปัจจุบัน
กลุ่มพยาบาลเวร แพทย์เวรรพ.ราชทัณฑ์ แพทย์ที่ตรวจร่างกายและทำหนังสือส่งตัว และพยาบาลอีก2คน กลุ่มผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ มีอธิบดีกรม รองอธิบดีกรม 2 คน ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพในขณะนั้น ผอและรองผอ.รพ.ราชทัณฑ์
กลุ่มแพทย์รพ.ตำรวจประกอบด้วยอดีตแพทย์ใหญ่ แพทย์ใหญ่คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้เขียนใบรับรองแพทย์2ครั้ง แพทย์เจ้าของไข้ที่ดูแลคืนที่นักโทษมาถึง(ประสาทศัลยแพทย์และเป็นผู้เขียนใบรับรองแพทย์ครั้งที่สาม) แพทย์อออร์โธปิดิกส์(ผู้เขียนใบรับรองแพทย์ครั้งที่สามอีกใบ) และแพทย์ออร์โธปิดิกส์ผู้ผ่าตัดนิ้วล็อค และผ่าเอ็นที่ไหล่
กลุ่มแพทยสภาคืออุปนายกแพทยสภา ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ และประธานราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ ส่วนจำเลยมีพยานปากเดียวคืออาจารย์วิษณุ เครืองาม
ในภาพรวมของการไต่สวนทั้งหมด ศาลท่านไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งผมพอสรุปได้คือ
1.ศาลท่านแสวงหาความจริงถึงการเจ็บป่วย ว่ามีการเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือมีอาการหนัก มีเหตุผลเพียงพอว่าควรส่งตัวไปรพ.ตำรวจหรือไม่
-อาการของนักโทษ ที่ใช่ส่งตัวคือเจ็บหน้าอก ความดันสูง หายใจเหนื่อย อ๊อกซิเจนปลายนิ้วต่ำ สงสัยเป็นหัวใจขาดเลือด
-ที่น่าสนใจคนพิจารณาเรื่องนี้เป็นพยาบาลเวร เสียเวลาถึงสองชั่วโมง โดยให้แค่ออกซิเจน ในการประสานงาน ทั้งๆที่รพ.ราชทัณฑ์มีรั้วติดกันห่างไปแค่200เมตร
-ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพปัจจุบันให้การว่าปกติแล้วนักโทษจาก เรือนจำพิเศษกรุงเทพถ้าเจ็บป่วยจะผ่านไปที่รพ.ราชทัณฑ์ก่อน ถ้าจะส่งต่อรพ.ราชทัณฑ์จะพิจารณาส่งต่อ
-แพทย์เวรรพ.ราชทัณฑ์ที่รับโรศัพท์คืนวันที่22ส.ค.2566 หลังจากฟังอาการจากพยาบาลเวร ก็ให้การว่าให้โทรปรึกษาแพทย์ที่ตรวจร่างกาย ส่วนแพทย์ที่ตรวจร่างกายก็อ้างว่า พยาบาลเวรขอใช้หนังสือส่งตัว ตนเองไม่ใช่แพทย์เวรจึงไม่ได้ให้คำแนะนำ
-ส่วนพยาบาลเวรก็อ้างว่า แพทย์เวรแนะนำให้ส่งต่อ เพราะฟังอาการสงสัยหัวใจขาดเลือด(ประเด็นนี้ฟังคำให้การของแพทย์เวรดูแล้วสับสน) แม้แพทย์ที่ทำหนังสือส่งตัว ตอนให้การกับแพทยสภา กลับมีคำแนะนำให้ส่งต่อเพราะเกินศักยภาพ
-การตัดสินใจให้ส่งไปรพ.ตำรวจ พยาบาลเวรเป็นผู้ตัดสิน เมื่อไปถึงรพ.ตำรวจให้ไปอยู่ชั้น14 ตึกมภร. พยาบาลเวรไม่ทราบว่าไปห้องฉุกเฉินก่อนหรือไม่ เพราะไปประสานเรื่องการส่งตัว ปล่อยให้พัสดีที่มากับรถพยาบาลดูแล และตนเองตามไปชั้น14
-ได้มีการสอบถามพยาน ที่เป็นแพทย์หลายท่าน กรณีผู้ป่วยฉุกเฉิน ควรจะต้องผ่านห้องฉุกเฉินก่อน เพื่อทำการรักษาเบื้องต้น แต่รายนี้ไม่ได้ผ่านห้องฉุกเฉิน
-มีประเด็นที่สนใจ ที่พยาบาลเวรบันทึกความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ อุณหภูมิ อ๊อกซิเจนปลายนิ้ว ช่วงเวลา 14.00น. 18.00น.และ22.00น.ของวันที่22ส.ค.2566 และเป็นผู้รายงานว่าช่วงเวลา22.00น. นักโทษหายใจเหนื่อย เจ็บหน้าอก อ๊อกซิเจนปลายนิ้วต่ำ แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ดูการเปลี่ยนแปลงและมีความเห็นว่า อ๊อกซิเจนปลายนิ้วไม่เปลี่ยนแปลง เท่าๆเดิมคือ92กับ93 การหายใจ ชีพจรก็ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก มีแต่ความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้น
2.ข้อกฏหมายที่ใช้ในการส่ง ศาลท่านเพียงว่าใช้ข้อกฏหมายอะไร ได้รับคำชี้แจงว่าใช้ มาตรา55 ของพรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และกฏกระทรวงที่ใช้ส่งนักโทษมารักษานอกเรือนจำ พ.ศ.2563
-มีประเด็นที่ศาลท่านถาม ปกติแล้วตามมาตรา55หรือกฏกระทรวง การส่งนักโทษไปรักษาภายในอก จะมีสองกรณีคือ รักษาพยาบาลแล้วอาการไม่ทุเลา และต้องการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน ใช้หลักข้อไหน
-นี่คือความเห็นส่วนตัวผมครับ ถ้าใช้หลักว่ารักษาพยาบาลแล้วไม่ทุเลา จะพบว่าคืนนั้นยังไม่ได้พบแพทย์ มีแต่พยาบาลเวรดูแล และให้เพียงออกซิเจนเท่านั้น ยังไม่ได้มีการให้ยาใดๆรักษา รวมทั้งโรงพยายาลราชทัณฑ์ก็ห่างไป200เมตร ก็ไม่ส่งไปรักษาเบื้องต้น ส่วนกรณีต้องบำบัดรักษาเฉพาะด้าน เมื่อไปถึงรพ.ตำรวจ แพทย์ที่รับดูแลคนแรก แทนที่จะเป็นแพทย์เฉพาะทางหัวใจ แต่ผู้สั่งการรักษากลายเป็นประสาทศัลยแพทย์ ซึ่งไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยงชาญหัวใจ
-ในภาพรวมศาลท่านไม่ได้ให้ตีความข้อกฏหมาย ศาลเพียงแสวงหาข้อเท็จจริง และเป็นผู้ตีความกฏหมายเอง
3.ศาลท่านแสวงหาความจริง ถึงความจำเป็นที่ต้องอยู่รพ.ตำรวจนานถึง 180 วัน
-เมื่อนักโทษมีอาการเจ็บหัวใจ หายใจเหนื่อย ความดันสูง อ๊อกซิเจนปลายนิ้วต่ำ สงสัยหัวใจขาดเลือด แต่แพทย์ที่อ้างว่าเป็นแพทย์เวร ซึ่งเป็นประสาทศัลยแพทย์ สั่งการรักษาด้วยยาสองตัวคือ ยาลดความดัน และยาพ่น
-วันที่ 23 ส.ค. 2566 ได้ปรึกษาแพทย์โรคหัวใจมาดู แต่แพทย์โรคหัวใจมาดูในวันที่ 24 ส.ค.2566 ผ่านไปแล้วประมาณ 36 ชั่วโมง เพราะมาปรึกษาช่วงเย็นแล้ว ผมการตรวจทางหัวใจไม่ว่าEKG หรือECHO ก็ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่ามีการแย่
-ช่วงแรกไม่ได้มีการส่ง doctor's order note ให้ทางศาลมีแต่progress note ตอนหลังศาลจึงมีการเรียก doctor's order note
-ได้ให้พยานที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดูการสั่งการรักษาของแพทย์เจ้าของไข้ มีประเด็นที่น่าสนใจคือ สงสัยว่านักโทษเป็นโรคหัวใจขาดเลือด แต่การส่งตรวจไม่มีการส่ง EKG ไม่มีการเจาะเลือดส่งตรวจเอ็นไซม์เกี่ยวกับหัวใจขาดเลือด อ้างว่าหายใจเหนื่อย แต่ไม่มีการส่งตรวจ เอ็กซเรย์ปอด
-วันที่24ส.ค.2566 อาการนักโทษทุเลาลงมาก ความดันลดลง ไม่เจ็บหน้าอก ยาที่ใช้ยังคงใช้ยาลดความดันกับยาพ่น ถามแพทย์รพ.ราชทัณฑ์มียาชนิดนี้ไหม ตอบว่ามี สามารถเอากลับไปรักษาที่รพ.ราชทัณฑ์ได้ไหม พยานบางคนตอบว่าได้ เมื่อถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถ้าเป็นผู้ป่วยทั่วไป ก็ตอบว่าสมควรกลับไปรักษาที่บ้านได้
-มีโรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวมา 2โรคคือ นิ้วล็อค กับเอ็นหัวไหล่ขวาฉีก
-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่านิ้วล็อค ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินที่ต้องผ่าตัดโดยด่วน ถือว่าเป็น elective case คือนัดมาผ่าเมื่อพร้อม เป็นผ่าตัดเล็ก ฉีดยาชาได้ ผ่าเสร็จมักจะให้กลับบ้าน ไม่ต้องอยู่รพ.ต่อเนื่องยาวนาน
-เอ็นหัวไหล่ฉีกด้านขวา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า อาจจะมีรอยฉีกเก่า หรือฉีกใหม่เกิดขึ้นใหม่ เช่นการเอื้อมมือแรงๆ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องผ่าตัดฉุกเฉินเร่งด่วน แต่ต้องดมยาสลบ
-เรื่องผ่าเอ็นไหล่ได้รับการท้วงติงจากอีกฝ่ายว่า เขาต้องกินยาไม่ให้เกิดลิ่มเลือดประจำ แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็บอกว่า การที่แพทย์หัวใจหยุดใช้ยาในช่วงจะผ่าตัด และนัดผ่าตัดได้ แสดงว่าร่างกายของนักโทษอยู่ในสภาพที่ดี จึงนัดผ่าตัดได้ โดยทั่วไปถ้าตัดไหมได้ ก็ไม่มีเหตุต้องอยู่โรงพยาบาลต่อเนื่อง
-ส่วนการอยู่โรงพยาบาลต่อเนื่อง และมีใบรับรองแพทย์ช่วง120วัน โดยอ้างเรื่องกระดูกสันหลังส่วนคอ ซึ่งเรื่องนี้นักโทษปฏิเสธการผ่าตัดตั้งช่วงแรก ทำไมจึงเอามาเขียนเป็นข้ออ้าง เพื่อวางแผนการผ่าตัด และสุดท้ายก็ไม่มีการผ่าตัดใดๆ เกี่ยวกับกระดูกสันหลังส่วนคอ
4.ศาลท่านแสวงหาความจริงในประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
-การพยุงนักโทษจากสถานพยาบาลในเรือนจำ ลงมาที่รถพยาบาล มีคน2คนช่วยพยุง คนแรกบอกถืออ็อกซิเจนลงมาด้วย แต่เมื่อถามอีกคนบอกไม่ได้ถือเพราะเกะกะ
-มีคำสั่งเตรียพร้อมเรื่องการส่งตัวนักโทษออกจากเรือนจำ ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 22ส.ค.2566 (ทำไมถึงรู้ล่วงหน้าว่า คืนนี้จะมีคนป่วยหนักที่ต้องส่งตัว)
-การให้ข้อมูลของแพทย์เวร พยาบาลเวรคืนนั้น กับแพทย์ที่เขียนหนังสือส่งตัวย้อนแย้งกัน
-ส่งตัวเพราะเกรงว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือด แต่สุดท้ายมีปัญหาหลักคือความดัน ส่วนนิ้วล็อคและเอ็นไหล่ฉีก ไม่ใช่สาเหตุการส่งตัว
-พยาบาลเวรอ้างว่า ใช้รถพยาบาลส่งตัวนักโทษ นั่งไป 4คนมีคนขับ พยาบาลเวร พัสดีเวร และนักโทษ แต่ฝ่ายผู้คุมบอกว่านั่งไป8คน จากเรือนจำ5คน ไปรับข้างหน้าแถวด่านอีก3 เนื่องจาก3คนมีอาวุธ เข้าเรือนจำไม่ได้
-ผู้คุมทุกปากบอกนักโทษอยู่ห้อง1407 เมื่อถูกถามเรื่องห้อง1404 ก็บอกว่าไปอยู่บ้าง แต่ตามเอกสารที่ยื่นให้ศาล พบว่าระบุชื่อนักโทษอยู่แต่ห้อง1404 รวม179วัน ส่วนห้อง1407 มีผู้ป่วยรายอื่นอยู่ด้วย
-ผู้คุมบอกว่านักโทษนอนติดเตียง มีพยาบาลมาพยุง พาไปอาบน้ำ (แต่จริงแล้วผู้ป่วยหนัก พยาบาลจะแค่เช็ดตัว ถ้าอาบน้ำได้ ถือว่าช่วยตัวเองได้)
ผมได้สรุปเฉพาะสาระสำคัญ ในการไต่สวนคดีนักโทษชั้น14 ทั้งหมด7นัด พยานเกือบ30ปาก ซึ่งศาลจะนัดฟังคำสั่งวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา10.00น. นัดหมายจำเลยและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมาด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หมอวรงค์ ถึงกับอึ้ง! เรือนจำพิเศษฯ มีหญิงจีนบริการนักโทษเทา
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า #เงินสีเทาระบาดไปในเรือนจำ
‘วรงค์’ เตือนหลงกลเขมร! จี้เลิก MOU43 ก่อนถูกบีบถอนธงชาติจากภูมะเขือ
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า #ไทยจะยอมถอนธงชาติลงจากภูมะเขือไหมถ้าเขมรเรียกร้อง
ชั้น14พ่นพิษ! 'ผบ.ตร.' เซ็นคำสั่งเด้ง 'หมอใหญ่รพ.ตำรวจ' ช่วยราชการ ศปก.ตร.
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) มีหนังสือคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการ
จากวลี 'คุกมีไว้ขังคนจน' ถึง 9 กันยา: เส้นบางๆ ระหว่างกฎหมายกับสังคม
9 กันยา ไม่ได้เป็นเพียงวันนัดอ่านคำสั่งของศาล แต่คือวันที่วลีเก่าแก่ “คุกมีไว้ขังคนจน” ถูกดึงขึ้นมาตั้งคำถามใหม่ เส้นบางๆระหว่างกฎหมายกับสังคม กำลังจะถูกทดสอบต่อ
เดดไลน์ 9 กันยา! คำตอบจาก 'ทักษิณ' บนฉากการเมืองสามก๊ก
9 กันยา ไม่ใช่เพียงวันศาลอ่านคำสั่งคดี แต่คือวันที่ สมการการเมืองไทยทั้งระบบถูกตั้งคำถามใหม่ การตัดสินใจของชายคนหนึ่งจะกำหนดจังหวะการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน และทิศทางสมดุลอำนาจในอนาคต ระบบการเมืองไทยไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกการเคลื่อนไหวมีผลต่อสมดุล และทุกอนาคตล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจครั้งนี้
'หมอวรงค์' ได้ที! ดีใจกว่า 'อิ๊งค์' ไม่รอด คือ 'ภูมิธรรม' หลุดไปด้วย
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า “คนไทยดีใจที่อุ๊งอิ๊งไม่รอด ที่ดีใจมากกว่าคือ ภูมิธรรมต้องหลุดด้วย แม้ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ แต่อำนาจลดลง”


