นักวิชาการ ยก 5 เหตุผลทำไมต้องยกเลิก MOU 43 - 44 จัดให้มีการลงประชามติก่อนเจรจา JBC

27 ส.ค. 2568 - นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความ เรื่อง ทำไมจึงต้องยกเลิก MOU 43 และ 44 ต้องจัดให้มีการลงประชามติก่อนเดินหน้าเจรจา JBC ว่าคนไทยทั้งประเทศเห็นด้วยหรือไม่ มีเนื้อหาดังนี้

มีข้อโต้แย้งและความไม่เข้าใจผลกระทบของการยอมรับ และใช้ MOU 43 และ 44 เป็นเอกสารในการเจรจากับกัมพูชาของคณะกรรมการ JBC ตามคำยืนยันของอธิบดี กรมสนธิสัญญา นั้น ได้มองข้ามประเด็นเหล่านี้

บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ทับซ้อนทางทะเลอ้างสิทธิในไหล่ทวีป หรือที่เรียกกันว่า MOU 43/44 เป็นบันทึกที่ลงนามในสมัยที่ นายกชวน หลีกภัย( 2543 ครับ.ศ. 2000) และนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2544 (ค.ศ. 2001) ซึ่งมีผลเสียต่อประเทศไทยในด้านเขตแดน เนื่องจาก MOU ดังกล่าวมีลักษณะสำคัญที่เอื้อประโยชน์ต่อกัมพูชาและอาจทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาปักปันเขตแดนทางทะเล

อันที่จริง MOU ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) เป็น “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 (ค.ศ. 2000) ในสมัย ชวน หลีกภัย ไม่ใช่ในสมัยนายทักษิณ ชินวัตร

โดยเน้นสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างไทย–กัมพูชา ผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Committee: JBC) โดยขอให้ทั้งสองฝ่ายงดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในพื้นที่ชายแดนจนกว่าจะสำรวจชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ไทยรายงานว่ากัมพูชา “ละเมิดเงื่อนไขมากกว่า 600 ครั้ง” เช่น การปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวร การเคลื่อนกำลังทหาร หรือวางกับระเบิด ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงชายแดนและความไม่สงบในหลายจังหวัดตลอดมา

ผลกระทบของ MOU 43 ต่อประเทศไทยในด้านเขตแดน คือมีการละเมิดเงื่อนไขอย่างต่อเนื่องจากการกระทำของกัมพูชา เช่น การก่อสร้างหรือจัดกำลังทหารในเขตชายแดนไทย–กัมพูชา กลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคงที่ไทยต้องส่งเรื่องร้องเรียนมาโดยตลอด เพื่อไม่ให้ปัญหากลายเป็นความขัดแย้ง แต่ฝ่ายผู้นำกัมพูชากลับคิดตรงกันข้าม เพื่อสร้างคะแนนเสียงความนิยม
โดยสรุปย่อๆ ผลเสียของ MOU 43/44 ต่อประเทศไทย มีดังต่อไปนี้

1. ทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาต่อรอง
MOU ฉบับนี้ทำให้กัมพูชามีอำนาจต่อรองเหนือกว่าไทย เนื่องจากกำหนดให้การปักปันเขตแดนทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนต้องทำร่วมกับการแบ่งปันผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน ซึ่งแต่เดิมไทยและกัมพูชาได้มีการแบ่งพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวเป็น 2 ส่วน คือ พื้นที่ทับซ้อนส่วนเหนือ (Overlap Area) และ พื้นที่ทับซ้อนส่วนใต้ (Joint Development Area) อย่างไรก็ตาม MOU ฉบับนี้ได้มีการควบรวมพื้นที่ทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน ทำให้การปักปันเขตแดนทางทะเล และการแสวงหาและแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนผูกพันเป็นเรื่องเดียวกัน

2. การยอมรับเส้นเขตแดนทางทะเลของกัมพูชาโดยปริยาย
ใน MOU ฉบับนี้มีการกล่าวถึง 'เส้นอ้างสิทธิไหล่ทวีป' (Overlapping Claims) ซึ่งเป็นเส้นที่กัมพูชาใช้อ้างสิทธิแต่เพียงฝ่ายเดียวและไทยไม่เคยยอมรับมาก่อน การที่ไทยลงนามในบันทึกดังกล่าวทำให้เหมือนกับว่าไทยได้ยอมรับเส้นอ้างสิทธินี้โดยปริยาย ซึ่งเส้นดังกล่าวได้ล้ำเข้ามาในน่านน้ำที่ไทยเคยมีสิทธิมานานแล้ว

3. การสูญเสียอำนาจอธิปไตย
MOU ฉบับนี้กำหนดให้การพัฒนาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนต้องเป็น 'การพัฒนาร่วมกัน' (Joint Development) หมายความว่าไทยไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวได้ด้วยตนเอง จะต้องร่วมมือกับกัมพูชาเท่านั้น ทำให้ไทยสูญเสียอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ที่เคยเป็นของตนเองไป

4. ผลประโยชน์ทางพลังงานที่ผูกมัดและไม่เป็นธรรม
จากข้อมูลสำรวจพบว่าในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล มีขนาดใหญ่ถึง 26,000 ตารางกิโลเมตรดังกล่าวนั้นมีแหล่งปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติในปริมาณมหาศาล ซึ่ง MOU นี้ทำให้ไทยไม่สามารถเจรจาเรื่องเขตแดนและแบ่งปันผลประโยชน์ทางทรัพยากรแยกออกจากกันได้ ดังนั้นผลประโยชน์ทางทรัพยากรที่ได้จะต้องแบ่งให้แก่กัมพูชาไปโดยปริยาย แม้ว่าในทางกฎหมายพื้นที่ดังกล่าวอาจเป็นของไทยก็ตาม

5. ขาดความชอบธรรมทางกฎหมาย
MOU 44 ไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา มีเสียงวิจารณ์ว่าอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2560 เนื่องจากไม่มีการนำเข้าพิจารณาและให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ

ดังนั้น ก่อนที่กระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าเจรจาขั้นต่อไป รัฐบาลจึงควรจัดให้มีการลงประชามติเพื่อยืนยันว่าคนไทยทั้งประเทศเห็นด้วยหรือไม่กับกระทรวงต่างประเทศ และรัฐบาลชุดนี้ ในการเดินหน้าเจรจาโดยใช้กรอบหรือยอมรับ MOU ที่ใช้มาตราพื้นที่โบราณ 1 ต่อ 200,000 ตร. เมตร แทน 1 ต่อ 25,000 ตามมารตฐานสากลในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ไทยเสียอธิปไตยในพื้นที่ของไทย และสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปอย่างมหาศาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศึกเลือกตั้งรอบใหม่ กับ 'สามก๊กฉบับชาติวิบัติ' ภาค 3

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สามก๊กฉบับชาติวิบัติ ภาค 3 (มีการปรับเปลี่ยนฝ่ายและชื่อตัวละครให้สอดคล้องสถานการณ์)

สแกน 100 ชื่อปาร์ตี้ลิสต์ 'เพื่อไทย' จับตาใช้สูตรปี66 จัดลำดับ

สแกน 100 ชื่อปาร์ตี้ลิสต์พท. แกนนำรุ่นใหญ่ ภูมิธรรม-สมศักดิ์-เสี่ยเพ้ง-สรวงศ์ ส่งลูก-หลังบ้าน-เครือญาติเข้าพรรค พวกย้ายพรรค-โยกสลับจากสอบตกเขตเพียบ จับตาอาจใช้สูตรเดิม เอาตัวเต็งรมต.ไว้ท้าย ลดแรงกระเพื่อม

เพื่อไทย ชูเครือญาติ 'ชินวัตร' นั่งแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1

"เพื่อไทย ชู "ยศชนัน" นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ชี้ไม่เป็นปัญหาถูกมองหนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร ลั่นเป็นโอกาส-จุดเด่น รับเป็นหน้าใหม่การเมือง เชื่อเวลา 2 เดือน ชนะใจปชช.ได้ พร้อมยัน ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา” ด้าน “สุริยะ” ยังมั่นใจ ถึงเป้า 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ประกาศพร้อมฝ่าด่านอำนาจรัฐ กระสุน กระแสชาตินิยม สู่ชัยชนะด้วยนโยบาย

'เทพมนตรี' บ่น ยึด 'ปราสาทพระวิหาร' คืน แจ้งสหประชาชาติ ไม่ให้กัมพูชาขึ้นมาใช้อำนาจอธิปไตย

นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า บ่น ไทยควรเอาคืนเขมรเรื่องปราสาทพระวิหารเพราะมีกฎมรดกโลก