ผลสำรวจของ ลีดเดอร์ชิพโพลล์ วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ชี้ประชาชนกว่า 74% เคยถูกสแกมหลอก มองปัญหากระทบเศรษฐกิจหนัก แม้เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนนโยบายเชิงรุก แต่ระดับความเชื่อมั่นต่อการทำให้สำเร็จยังไม่สูงเท่าแรงหนุนนโยบาย
16 พฤศจิกายน 2568 - ลีดเดอร์ชิพโพลล์ วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการประกาศทำสงครามกับสแกรมเมอร์ของรัฐบาล จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,200 คน ผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 7-15 พฤศจิกายน 2568
ผลสำรวจ พบว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 74.42 มีประสบการณ์เคยถูกติดต่อหลอกลวงจากแก๊งแกมเมอร์ มีประชาชนเพียงร้อยละ 25.58 เท่านั้นที่ยังไม่เคยถูกติดต่อหลอกลวงจากแก๊งแกมเมอร์
ส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ของแก๊งแกมเมอร์จากสื่อออนไลน์/โซเชียลมีเดีย โดยคิดเป็นร้อยละ 74.33 รองลงมา รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์จากทีวี/สื่อหลัก โดยคิดเป็นร้อยละ 20.50
รองลงมารับข้อมูลข่าวสารจากครอบครัว/เพื่อน คิดเป็นร้อยละ 2.92 และรับข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐ แหล่งอื่นๆ ตามลำดับ เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้นำท้องถิ่นเป็นช่องทางที่ประชาชนรับรู้ข้อมูลน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับทุกช่องทาง
สำหรับรูปแบบการหลอกลวงในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ประชาชนพบเห็นรูปแบบการหลอกลวง จากการโทรแอบอ้าง มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 73.00 รองลงมาคือ ลิงก์ปลอม คิดเป็นร้อยละ 10.00 และ ข้อความหลอกลวง (SMS) และ รูปแบบอื่น ๆ ซึ่งพบในสัดส่วนเท่ากันที่ร้อยละ 8.92
ส่วนการหลอกลวงประเภท ลงทุน/กู้เงิน พบร้อยละ 4.83 ขณะที่ พัสดุปลอม และ โรแมนซ์สแกม (Romance scam) พบในสัดส่วนค่อนข้างต่ำ คิดเป็นร้อยละ 1.00 และ 2.25 ตามลำดับ ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นว่า การโทรแอบอ้างยังคงเป็นรูปแบบหลอกลวงที่ประชาชนพบมากที่สุด ขณะที่การหลอกลวงในรูปแบบพัสดุปลอมและโรแมนซ์สแกมยังพบในระดับต่ำกว่ารูปแบบอื่น
ประชาชนประเมินความเสียหายที่เกิดจากการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ต่อเศรษฐกิจอยู่ในในระดับมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 82.42 รองลงมาเห็นว่า เสียหายในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 15.33 มีประชาชนมีเพียงร้อยละ 2.08 ที่เห็นว่าการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย
และมีประชาชนเพียงร้อยละ 0.17 ที่เห็นว่าการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำที่สุด
จากผลการสำรวจดังนี้กล่าวสะท้อนว่า สังคมไทยรับรู้ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากอาชญากรรมไซเบอร์อย่างชัดเจนและเป็นวงกว้าง โดยแทบไม่มีผู้ที่มองว่าปัญหานี้ไม่สร้างความเสียหายต่อประเทศ
ภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าวนี้ ประชาชนเห็นว่าแนวทางที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการมากที่สุดคือ เร่งทำลายแหล่งเครือข่ายการกระทำผิด โดยคิดเป็นร้อยละ 55.83 รองลงมาคือการ เพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิด คิดเป็นร้อยละ 12.67 และการ ให้ความรู้ประชาชน คิดเป็นร้อยละ 12.08
ขณะที่การ ควบคุมธุรกรรมเสี่ยง และการสร้างความร่วมมือต่างประเทศ อยู่ในระดับรองลงมา คิดเป็นร้อยละ 6.83 และ 7.25 ตามลำดับ สำหรับแนวทางการ ใช้ AI ตรวจจับสแกม พบว่ามีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ คิดเป็นร้อยละ 3.42 และหมวด อื่น ๆ อยู่ที่ร้อยละ 1.92 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยที่สุด
ผลสำรวจด้านนี้สะท้อนว่า ประชาชนให้ความสำคัญกับการ ตัดตอนต้นทางและโครงสร้างของเครือข่ายสแกมเมอร์ มากกว่ามาตรการอื่น ๆ โดยมองว่าการจัดการที่แหล่งกำเนิดจะช่วยลดอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
เป็นที่น่าสนใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสำรวจ เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการที่รัฐบาลนายอนุทินประกาศสงครามกับสแกมเมอร์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 59.33 รองลงมาคือผู้ที่ ไม่แน่ใจและขอดูผลงานก่อน คิดเป็นร้อยละ 26.58
ส่วนประชาชนที่เห็นด้วยมีร้อยละ 11.75 ขณะที่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยมีสัดส่วนน้อยที่สุด เพียงร้อยละ 2.33 ผลสำรวจนี้สะท้อนว่า ประชาชนโดยรวม สนับสนุนท่าทีเชิงรุกของรัฐบาลเป็นอย่างมาก ถึงแม้ยังมีประชาชนบางส่วนที่ต้องการรอดูผลงาน ก่อนตัดสินใจว่ามาตรการดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพจริงเพียงใด
นอกจากนี้ ผลสำราวจยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อภาวะผู้นำของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าจะชนะสงครามกับสแกมเมอร์ หรือไม่ ผลการสำรวจชี้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นว่าภาวะผู้นำของรัฐบาลนายอนุทินว่าจะชนะสงครามกับสแกมเมอร์ได้ โดยคิดเป็นร้อยละ 37.17
รองลงมาประชาชนมีความเชื่อมั่นน้อยว่าภาวะผู้นำของรัฐบาลนายอนุทินว่าจะชนะสงครามกับสแกมเมอร์ได้ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 22.25 และผู้ที่ไม่รู้/ไม่แน่ใจ คิดเป็นร้อยละ 15.83
ขณะที่ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง อยู่ที่ร้อยละ 20.67 และมีเพียงร้อยละ 4.08 เท่านั้นที่มีความเชื่อมั่นมาก ผลสำรวจสะท้อนว่า แม้ประชาชนส่วนหนึ่งเห็นด้วยกับนโยบาย “สงครามกับสแกมเมอร์” แต่ในด้านความเชื่อมั่นต่อภาวะผู้นำยังอยู่ในระดับต่ำ
โดยเสียงส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถทำให้ปัญหานี้สำเร็จได้ตามที่ประกาศ
ภาพรวมผลการสำรวจสะท้อนว่า ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ได้กลายเป็นประสบการณ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เคยเผชิญ และรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์เป็นช่องทางหลัก ขณะที่รูปแบบหลอกลวงที่พบมากที่สุดคือการโทรแอบอ้าง ซึ่งตอกย้ำว่าปัญหายังเกิดจากการปฏิบัติการของเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างเป็นระบบ
ประชาชนจำนวนมากมองว่าปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับรุนแรง และจึงคาดหวังให้รัฐบาลเร่งทำลายต้นตอเครือข่าย มากกว่ามาตรการเสริมอื่น ๆ
แม้ประชาชนส่วนใหญ่แสดงการสนับสนุนนโยบายสงครามกับสแกมเมอร์ของรัฐบาลนายอนุทิน แต่ระดับความเชื่อมั่นต่อภาวะผู้นำที่จะทำให้สำเร็จยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนช่องว่างระหว่าง “การสนับสนุนเชิงนโยบาย” กับ “ความเชื่อมั่นเชิงปฏิบัติ” ที่รัฐบาลต้องเร่งสร้างให้เกิดขึ้นผ่านผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา
"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ
โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ
'อนุทิน' รับรู้จัก 'เบน สมิธ' แต่ไม่สนิท ชี้ภาพเก่า 10 ปี รู้อยู่แล้วใครปล่อย
“อนุทิน” รับรู้จัก “เบนสมิท” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน ชี้ภาพที่เห็นออกเป็นรูปเก่า10ปี บอกสื่อก็รู้ว่าใครปล่อย ยันถ้าสนิททำไมไม่ได้สัญชาติ ไทย รับเป็นเหตุต้องพ้น มท. 1 โต้ “โรม” รู้จักผมน้อยไป หลังวิจารณ์ไม่ตั้งใจปราบสแกมเมอร์
เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'
จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


