‘อัษฎางค์’ ชี้ดีลทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป คือ ดีลที่ทักษิณมอบความชอบธรรมในการทำรัฐประหารให้ทหาร

18 พ.ย. 2568- อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ว่า ดีลทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป คือ ดีลที่ทักษิณมอบความชอบธรรมในการทำรัฐประหารให้ทหาร ผู้ที่มีหน้าที่พิทักษ์รักษา ผลประโยชน์ของชาติ

ข้อเท็จจริงในคดีที่ทักษิณขายหุ้น “ชินคอร์ป” ให้เทมาเส็กของสิงคโปร์โดยไม่เสียภาษี เกิดจากดีลใหญ่ในปี 2549 ซึ่งถูกตรวจสอบและกลายเป็นคดีภาษีมูลค่าสูงถึง 1.76 หมื่นล้านบาท ต่อมาศาลฎีกาในปี 2568 ได้มีคำพิพากษาสำคัญที่พลิกผลลัพธ์ของคดี

สรุปรายละเอียดหลักได้ดังนี้

• ทักษิณ ชินวัตร พร้อมครอบครัว เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

• หุ้นชินคอร์ปถูกโอนให้ลูก (พานทองแท้และพินทองทา) ผ่านบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด (ตั้งในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน) ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นการซื้อขายกันนอกตลาด และมีการตั้งคำถามว่ามูลค่าที่ต่ำกว่านี้เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี

• หลังจากนั้น หุ้นดังกล่าวถูกขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์ในราคาหุ้นละประมาณ 49 บาท รวมราคาสูงถึง 73,000 ล้านบาท

• คณะกรรมการตรวจสอบ (คตส.) และกรมสรรพากร สอบสวนว่าเป็นการโอนหุ้นในราคาต่ำกว่าตลาดจนเกิดส่วนต่างที่ควรเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 ของประมวลรัษฎากร

• กรมสรรพากรออกหนังสือแจ้งภาษีให้ทักษิณ (ผ่านลูกและแอมเพิล ริช) ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม รวมเป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท

• ก่อนหน้านี้ ศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเคยพิพากษาให้นายทักษิณชนะคดี โดยระบุว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ออกหมายเรียกให้ทักษิณในขั้นตอนที่กำหนด

• กรมสรรพากรยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา และในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ศาลฎีกาพิพากษาให้ “ทักษิณแพ้คดี” ต้องจ่ายภาษี จากการขายหุ้น “ชินคอร์ป” ให้กับเทมาเส็กตามคำสั่งของกรมสรรพากร

• ศาลชี้ว่าธุรกรรมนี้ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจและมีเป้าหมายเพื่อหาประโยชน์ด้านภาษี จึงต้องเสียภาษีตามกฎหมาย

• ศาลฎีกาอ้างถึงมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดว่า หากมีการโอนหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด จะถือว่าส่วนต่างราคาซื้อขายนั้นเป็น “เงินได้พึงประเมิน” และต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

• ศาลชี้ว่าการโอนหุ้นให้ลูกทั้งสองถือหุ้นแทน เป็นการกระทำที่ “ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ” นอกจากเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จึงจัดว่าเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรงและขาดคุณธรรมทางภาษี

• โดยปกติถ้ามีการโอนหุ้นในครอบครัว ต้องพิจารณาว่าเป็นการถ่ายทอดผลประโยชน์เพื่อดูแลสืบทอดกิจการ หรือเพื่อเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย

• คำว่า “ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ” ตามที่ศาลชี้หมายความว่า การโอนหุ้นให้ลูกทั้งสองไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อเหตุผลทางธุรกิจหรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกิจการ แต่โอนหุ้นนั้นเพื่อจงใจหลีกเลี่ยงภาษีหรือได้ประโยชน์ทางภาษีมากกว่า

• ศาลไม่ยอมรับคำอ้างที่ว่า กรมสรรพากรประเมินภาษีโดยผิดขั้นตอนตามมาตรา 19 เพราะเห็นว่าการขายหุ้นเป็นของทักษิณโดยแท้จริง แม้หุ้นจะอยู่ในชื่อของบุตร จึงต้องเสียภาษีตามกฎหมาย

• ศาลจึงพิพากษาให้ทักษิณ ชำระภาษีเงินได้พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม 17,600 ล้านบาท

เมื่อตระกูลชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดให้เทมาเส็กในวันที่ 23 ม.ค. 2549 เป็นเงินกว่า 73,000 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว กลายเป็น “ตัวเร่งชนิดแรงสูง” ที่ทำให้สถานการณ์การเมืองซึ่งเดือดอยู่แล้ว ระเบิดออกอย่างรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

1. ประชาชนจำนวนมากมองว่ารัฐบาลใช้กฎหมายเอื้อผลประโยชน์ธุรกิจในเครือตนเอง

2. ชินคอร์ปถือสัมปทานดาวเทียมและกิจการสื่อสาร ซึ่งทางสังคมมองเป็น “การขายกิจการที่เกี่ยวกับความมั่นคงให้ต่างชาติ”

3. การไม่เสียภาษีจำนวนมหาศาล กลายเป็นเชื้อไฟทางศีลธรรม ทำให้คนรู้สึกว่าระบบถูกบิดเบือนเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

ดีลการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กในปี 2549 นี้ทำให้การเมือง “เพดานแตก” ในเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังดีลเกิดขึ้น

• เกิดการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตร

• เกิดปรากฏการณ์ “ขอคืนภาษี”

• เกิดการยุบสภาในเดือนกุมภาพันธ์

• เกิดการเลือกตั้งเดือนเมษายนที่ฝ่ายค้านบอยคอต

• เกิดสุญญากาศการเมืองที่ยืดเยื้อ

รัฐขาดความชอบธรรม ในสายตากลุ่มอำนาจหลายฝ่าย ทั้งในระบบราชการ กองทัพ และภาคชนชั้นนำ

นี่คือเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกิดรัฐประหารง่ายขึ้นอย่างผิดปกติ

“เหตุผลอย่างเป็นทางการ” ของ คมช. หลังรัฐประหาร

เมื่อ 19 กันยายน 2549 คมช. ออกประกาศว่า

รัฐบาลทักษิณ “ทุจริต เอื้อผลประโยชน์แก่ตนเองและเครือญาติ และบ่อนทำลายธรรมาภิบาลของรัฐ”

แม้จะมีปัจจัยอื่นประกอบ

แต่ดีลชินคอร์ป–เทมาเส็กคือ “ข้อกล่าวหาหลัก” ที่ถูกยกเป็นหลักฐานเชิงสังคม

กล่าวได้ว่ามันเป็น “กระดูกสันหลังของความชอบธรรมรัฐประหาร”

สรุป

ดีลขายหุ้นชินคอร์ป “ไม่ใช่เหตุโดยตรง” แต่เป็น “ชนวนที่ทำให้โครงสร้างความขัดแย้งที่สุกงอมอยู่แล้วพังทลายลง” จนนำไปสู่รัฐประหารได้อย่างรวดเร็ว

ชนิดที่ถ้าไม่มีดีลนี้ เหตุการณ์ 19 กันยาอาจยังไม่เกิด หรือเกิดช้ากว่านี้ หรือเป็นไปในรูปแบบที่ต่างไปจากนี้

คำว่า โดนกลั่นแกล้งจากมือที่มองไม่เห็น ของทักษิณ เป็นเพียงข้ออ้างของคนที่ทำผิดกฎหมายอย่างตั้งใจ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘เสรีพิศุทธ์’ จัดเต็ม ‘ทักษิณ’ ยังไม่สิ้นกรรม แฉลึก...ศึกสีกากี

กลายเป็นเรื่องที่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมาก กับการออกเปิดโปง-แฉข้อมูลเรื่องตำรวจรับผลประโยชน์ รับส่วยจากเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์

'ภูมิใจไทย'โชว์พร้อมยุบสภา 'ทักษิณ'ถูกสกัด-'พท.แพแตก'

การเมืองเวลานี้ต้องจับตาว่าจะมีการเลือกตั้งตาม MOA ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ที่กำหนดวันเลือกตั้งไว้วันที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่หรือไม่

พูดแบบนี้ได้ยังไง! อดีตลูกจ้างวอยซ์ ลั่นไม่เห็นใจทักษิณ หลังคดี 112 ถูกอุทธรณ์

อินฟลูเอนเซอร์สายการเมือง และอดีตพิธีกรข่าววอยซ์ทีวีของตระกูลชินวัตร แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์ หลังอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ข

‘ปลื้ม’ ถอดบทเรียนทักษิณ ต้องรู้จักแพ้-รู้จักหมอบ ถ้ามีแผลก็อย่าซ่า

หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล ไลฟ์ “บทเรียนที่แสนแพง” ชี้ชีวิตการเมืองไม่สวยหรู เด็กต้องเรียนรู้การพ่ายแพ้ เก็บข้าวของกลับบ้าน และรู้ว่าถ้ามีแผลในสารบบศาบ แผลนั้นพร้อมเหวอะทันทีเมื่อถูกเชือด ระบุซ่าได้ต่อเมื่อไม่มีแผล

คดี112 ประธานผู้ลี้ภัย โวยกฎหมายโบราณกลั่นแกล้งทักษิณ

นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประธานสมาคมนักประชาธิปไตยชาวไทยไร้พรมแดน ปัจจุบันลี้ภัยในฝรั่งเศส โพสต์เ