
19 พ.ย. 2568- รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความเรื่อง ความสมดุลของการรักษาอธิปไตยและการใช้กำลัง : สำหรับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา มีเนื้อหาดังนี้
บทความของ ดร.นพดล กรรณิกา เรื่อง "บทเรียนจากโลกจริง": เมื่อผู้นำเลือก “รบเพื่อเอาใจประชาชน” ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจว่า ไทยควรใช้ยุทธศาสตร์ “การหยุดเชิงยุทธศาสตร์ที่สงบนิ่ง” หรือ Strategic Pause ในการจัดการกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยอ้างกรณีศึกษาหลายกรณีที่แสดงให้เห็นว่าการทำสงครามมักทำให้ประเทศต้องจ่ายราคาแพงนานหลายทศวรรษ ดังตัวอย่างเวียดนามที่ท่านเห็นว่า “ชนะสงคราม แต่แพ้การพัฒนาไปกว่า 20-30 ปี” หลังจากบุกโค่นเขมรแดงในปี 1978
สำหรับไทย ท่านชี้ว่ากำลังได้เปรียบอยู่แล้วจากการ “ไม่ตอบโต้”ทางการทหาร เพราะถ้าทำสงครามที่ได้ใจคนแค่สัปดาห์เดียว อาจทำให้เสียประเทศไป 50-60 ปี
บทความนี้ต้องการแลกเปลี่ยนกับแนวคิดดังกล่าว ว่ามีข้อพิจารณาสำคัญหลายประการ ทั้งการตีความหมายของ Strategic Pause การมองข้ามต้นทุนของการไม่รักษาอธิปไตยอย่างมีประสิทธิผล แม้การหลีกเลี่ยงสงครามที่ไร้เหตุผลเป็นสิ่งถูกต้อง แต่การไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการปกป้องอธิปไตยเป็นเวลานานหลายสิบปี ก็มิใช่ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมเช่นกัน
หลัก ๆ ของสถานการณ์ขัดแย้งไทย-กัมพูชาในปัจจุบันอยู่ที่ข้อพิพาทในเรื่องเขตแดนหลายจุด จนปะทุขึ้นเป็นการปะทะด้วยกำลังอาวุธ จากนั้นสงบลงด้วยการทำข้อตกลงสันติภาพ แต่สันติภาพจริง ๆ ก็ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะกัมพูชายังสร้างเรื่องเท็จ โฆษณาชวนเชื่อใส่ความ ยั่วยุ และยึดครองพื้นที่ต่อไปโดยไม่ยอมรับอธิปไตยของไทย การลักลอบข้ามแดน ตัดรั้วลวดหนามและวางทุ่นระเบิดในเขตไทยยังมีอยู่เป็นระยะ จนทหารไทยได้รับบาดเจ็บหลายราย
แนวคิด Strategic Pause “การหยุดนิ่งเชิงกลยุทธ์” มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อประเทศใช้เวลาดังกล่าวเพื่อการเตรียมพร้อมทางทหารและการทูต รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการต่อรอง และสร้างความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ แต่ในกรณีไทย-กัมพูชา การ “หยุดนิ่ง” หรือ “หยุดชะงัก” มาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยมีเพียงการส่งหนังสือประท้วงไปกว่า 500-600 ครั้งตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศนั้น ไม่ใช่ Strategic Pause ในความหมายที่แท้จริง หากแต่อาจกลายเป็น Passive Acceptance หรือการยอมรับเชิงรับ ผลที่เกิดขึ้น คือ กัมพูชาได้สร้าง “ข้อเท็จจริงสำเร็จ” หรือที่เรียกว่า fait accompli โดยการยึดครองพื้นที่ไทยต่อไป ตั้งหมู่บ้าน วัด ฐานทหาร ที่นับวันกลายเป็นสภาพที่ยากต่อการเปลี่ยนแปลง การที่ไทยไม่มีมาตรการที่มีผลจริงในทางปฏิบัติต่อการรักษาอธิปไตยเหนือดินแดน ในระดับที่ถือว่า “เพียงพอ” ความนิ่งเฉยอาจถูกตีความว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย และไม่มีความมุ่งมั่นจริงจังในการปกป้องดินแดน ทำให้สถานะของรัฐอ่อนลงในการพิสูจน์สิทธิในอนาคต ทั้งในกรอบกฎหมายและการต่อรองทางการทูต
สิ่งที่น่ากังวลคือ สถานการณ์นี้ไม่ใช่การ “ชนะโดยไม่รบ” ตามหลักการของซุนวู หากเป็นการ “สูญเสียทีละน้อยโดยไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน” เพราะทุกเวลาที่ผ่านไป กัมพูชายิ่งควบคุมพื้นที่มั่นคงขึ้น มีประชากรอาศัยเพิ่มขึ้น และมีเหตุผลในการอ้างสิทธิที่ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาของนานาชาติ ยิ่งไทยยังคงใช้วิธีการทางการทูตเพียงอย่างเดียว การส่งหนังสือประท้วงโดยไม่มีมาตรการอื่นที่เป็นรูปธรรม การเปรียบเทียบกับหลักการของซุนวูจึงต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะซุนวูสอนว่า “ชนะโดยไม่รบ” หมายถึงการใช้กลยุทธ์การทูตและการข่าวกรองที่ทำให้ศัตรูยอมจำนนก่อนที่จะต้องจับอาวุธเข้าสู่สมรภูมิ ไม่ใช่การปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปโดยไม่มีแผนงานที่ชัดเจน แล้วดินแดนถูกยึดครองไปทีละน้อย ซุนวูเองยังเน้นย้ำว่า “หากจำเป็นต้องรบ ต้องรบอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด” ไม่ใช่หลีกเลี่ยงการปกป้องอธิปไตยจนถึงขั้นสูญเสียดินแดน
บทความนี้มิได้เรียกร้องสงคราม ให้ไทยบุกกัมพูชาหรือทำการรบเต็มรูปแบบ แต่เสนอว่าไทยควรมี “ทางเลือกกลาง” ระหว่างการไม่ใช้กำลังเลยกับการทำสงครามขนาดใหญ่ ทางเลือกนั้นคือการใช้กำลังแบบจำกัดและสมส่วนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อไทยถูกละเมิดอธิปไตย ไทยมีสิทธิในการป้องกันตนเอง แม้ในกรณีที่ไม่ถึงระดับ armed attack รัฐก็ยังมีสิทธิใช้มาตรการที่จำเป็นตอบโต้เมื่อมีความจำเป็น โดยดูความสมส่วน คือไม่เกินไปกว่าความจำเป็นในการแก้ไขสถานการณ์ และทันท่วงที คือภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล
ไทยควรประกาศจุดยืนชัดเจน หรือที่เรียกว่า “red lines” ให้กัมพูชาทราบว่า หากข้ามเส้นนี้ไป ไทยจะใช้มาตรการอย่างไรทันที เช่น “หากกัมพูชาตั้งหมู่บ้านใหม่ในเขตไทย ไทยจะรื้อถอนอย่างรวดเร็ว” หรือ “หากมีการวางทุ่นระเบิดในเขตไทย ไทยจะจับกุมผู้กระทำและดำเนินคดีเด็ดขาดตามกฎหมาย” การมีจุดยืนเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดความเข้าใจผิด และทำให้กัมพูชาต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาก่อนกระทำการ และจะช่วยให้การใช้การทูตมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะการเจรจาจากฐานะที่แข็งแกร่งและมีความพร้อมในการใช้กำลัง ย่อมได้เปรียบกว่าการเจรจาจากฐานะที่อ่อนแอและไม่กล้าใช้กำลัง ตามหลักการ “หากต้องการสันติ ต้องเตรียมพร้อมทำสงคราม”
เราสามารถเรียนรู้จากประเทศอื่นที่ประสบความสำเร็จในการปกป้องอธิปไตย โดยใช้หลักการสมดุลระหว่างการทูตและความพร้อมทางทหาร สิงคโปร์แม้จะเป็นประเทศเล็กและมีพื้นที่จำกัด แต่มีกองทัพที่แข็งแกร่งและทันสมัยที่สุดในภูมิภาค จึงไม่มีประเทศใดกล้ายั่วยุหรือละเมิดอธิปไตย อิสราเอลเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องอื่น ๆ แต่มีนโยบายที่ชัดเจนในการตอบโต้ทันทีทุกครั้งที่ถูกละเมิดอธิปไตย ก็ทำให้ศัตรูต้องคิดหนักก่อนจะกระทำการใด ๆ นโยบายนี้แม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย แต่ก็ทำให้อิสราเอลอยู่รอดมาได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย เวียดนามเองก็เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อจีนพยายามยึดเกาะและขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้ เวียดนามมีการคัดค้านอย่างต่อเนื่อง และมีการเตรียมพร้อมทางทหารอย่างจริงจัง แม้จะรู้ว่าจีนใหญ่กว่าและแข็งแกร่งกว่ามาก แต่เวียดนามก็ไม่ยอมให้จีนยึดพื้นที่โดยไม่มีการต่อสู้
ข้อโต้แย้งสำคัญที่มักถูกยกขึ้นมา คือเรื่องต้นทุนทางเศรษฐกิจ โดยกล่าวว่าการใช้กำลังทหารมีค่าใช้จ่ายสูง อดีตนักการทหารบางคนถึงกับคำนวณตัวเงินเป็นแสนล้าน และว่าจะทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ถูกคว่ำบาตร และเศรษฐกิจจะล้าหลังไปอีกหลายสิบปี แต่ต้องถามกลับว่า ต้นทุนของการไม่รักษาอธิปไตยอย่างมีประสิทธิผล คืออะไร ทุกปีที่ผ่านไป ไทยสูญเสียพื้นที่ทีละน้อย สูญเสียความน่าเชื่อถือในฐานะรัฐเอกราชที่ต้องปกป้องอธิปไตยของตนเอง และที่สำคัญคือ เมื่อกัมพูชาเห็นว่าไทยอ่อนแอ ไม่กล้าใช้กำลัง พวกเขาก็จะเรียกร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่น้อยลง นี่คือต้นทุนที่มองไม่เห็น แต่สะสมอยู่ทุกวัน
นอกจากนี้ ต้องเข้าใจว่าการรักษาอธิปไตย ไม่จำเป็นต้องทำสงครามเต็มรูปแบบ การขับไล่ผู้บุกรุกออกจากดินแดนของตนเองไม่ใช่ “สงคราม” ในความหมายที่ทำให้ถูกคว่ำบาตรหรือสูญเสียนักลงทุน แต่เป็น “การใช้กำลังตามกฎหมาย” ไม่ต่างจากการที่ตำรวจจับผู้ร้ายที่บุกรุกบ้าน เราสามารถดูตัวอย่างจากประเทศอื่นได้ว่า การมีความขัดแย้งชายแดนไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจพังทลายเสมอไป อินเดียและจีนมีการปะทะชายแดนบ่อยครั้ง แต่ทั้งสองประเทศยังคงเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อินเดียมีความขัดแย้งทั้งกับปากีสถานและจีน แต่ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วในโลก เพราะนักลงทุนระหว่างประเทศเคารพประเทศที่สามารถรักษาอธิปไตยของตนเองได้ มากกว่าประเทศที่อ่อนแอและยอมให้ประเทศอื่นละเมิดอธิปไตยได้ โดยไม่ได้รับการตอบโต้
ในท้ายที่สุด บทความนี้ไม่ได้เรียกร้องให้ไทยทำสงครามกับกัมพูชา แต่ชี้ให้เห็นว่า Strategic Pause ต้องมีกรอบเวลาและเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่การนิ่งเฉย การรักษาอธิปไตยต้องมีความน่าเชื่อถือ หากไทยไม่เคยแสดงให้เห็นว่าพร้อมจะใช้กำลังเมื่อจำเป็น กัมพูชาก็จะไม่เคารพ จะยั่วยุและรุกล้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ไทยต้อง “ใช้กำลังเมื่อจำเป็นและมีเหตุผล” ไม่ใช่ “ไม่ใช้กำลังไม่ว่ากรณีใด”
การป้องกันอธิปไตยของชาติ เป็นหน้าที่พื้นฐานของรัฐ ซึ่งต่างจากชาตินิยมหัวรุนแรง (extreme nationalism) เพราะไม่ได้เรียกร้องการรุกราน หากแต่เป็นการปกป้องสิทธิที่มีอยู่แล้วตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช่การรบเพื่อความสะใจ หรือทำสงครามเพื่อเอาใจประชาชน การที่ไทยส่งหนังสือประท้วง 500-600 ครั้งตลอดหลายสิบปีโดยไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่การชนะโดยไม่รบตามหลักของซุนวู แต่เป็นการแพ้ทีละน้อยโดยไม่ตื่นตัว เป็นการสูญเสียดินแดนและกัดกร่อนศักดิ์ศรีของชาติอย่างช้า ๆ
สิ่งที่ไทยต้องการคือความสมดุลระหว่างการใช้การทูตอย่างเต็มที่ และการมีความพร้อมที่จะใช้กำลังอย่างสมส่วนเมื่อจำเป็น ไม่ใช่การเลือกด้านใดด้านหนึ่งจนสุดโต่ง เพราะทั้งสงครามที่ไร้เหตุผลและสันติภาพที่ไม่มีศักดิ์ศรี ล้วนนำไปสู่ความล้มเหลวของชาติในระยะยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อวยกันเอง 'อดีตก.ต.ช.' ยกก้น 'กิตติ์รัฐ' ตำรวจน้ำดี คือ ราชสีห์ ไม่หวั่นไหวต่อเสียงวิจารณ์ที่ว่างเปล่า
ดร.นพดล กรรณิกา อดีตกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาชน ๒๕๖๗ อดีต อนุกรรมการและหัวหน้าคณะทำงานชุดสำรวจความคิดเห็น พัฒนาระบบงานตำรวจ ชุด พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ ๒๕๕๐ เผยแพร่ เอกสาร เรื่อง ตำรวจน้ำดี คือ ราชสีห์ มีเนื้อหาดังนี้
'ครูวีระ' อบรมพวกโลกสวย แยกไม่ออก 'รักชาติ' กับ 'ชาตินิยม' แตกต่างกันอย่างไร
'ครูวีระ' ชี้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา คนไทยเพียงต้องการรักษาแผ่นดินไทยเท่านั้น มิได้ต้องการรุกรานชาติกัมพูชา แต่หลายกลุ่มแยกไม่ออก 'รักชาติ' กับ 'ชาตินิยม' แตกต่างกันอย่างไร จึงมีคนโลกสวยเป็นจำนวนมาก
'เท้ง' ดึงสติ 'อนุทิน' อย่าโหนกระแสชาตินิยม ปมปัญหาชายแดน หวั่นทำไทยเสียเปรียบ
'เท้ง' ดึงสติ 'อนุทิน' อย่าเอาแต่คะแนนเสียง ปมบริหารจัดการปัญหาชายแดน หวั่นทำไทยเสียเปรียบ บอกโลกกำลังล้อมเขมร แทนที่จะปราบสแกมเมอร์ กลับฉีกสันติภาพ โหนกระแสชาตินิยม ไม่จัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง แนะต่อสายตรงผู้นำมาเลเซีย -ปธน.สหรัฐ
เตือน นายกฯเดินไต่เส้นลวด ลงนามสันติภาพกับเขมร เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเขตแดน
'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ย้อนถามนายกฯลงนามสันติภาพกับเขมร ดินแดนที่เรายึดคืนมาได้ต้องคืนไหม ส่วนที่ยืนยันไม่ใช่สนธิสัญญา แต่ก็เดินไต่เส้นลวด เพราะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเขตแดน
'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' กังขา 'ข้อตกลงสันติภาพ-คำพูดนายกฯ' เตือนเขมรเคลมแผ่นดินไทยทุกจุด
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความว่า สันติภาพ ? นายกหนูไปลงนามสันติภาพกับผู้นำเขมร
'เทพมนตรี' สงสัย JBC เล่นเกมยื้อ กีดขวางการทำงานของกองกำลังบูรพา-ความหวังของชาวบ้าน
นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ลับ ลวง ลึก ให้เขมร


