การเรียนประวัติศาสตร์ สำคัญต่อเรื่องการเมือง-นโยบายหรือไม่ 'เอ็ดดี้' มีคำตอบ

6 ธ.ค.2568-อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “เอ็ดดี้ อัษฎางค์” เรื่อง ท่านทราบหรือไม่ว่า…“การเรียนประวัติศาสตร์สำคัญต่อเรื่องการเมืองและนโยบาย” เนื้อหาระบุ

ไม่มีชาติใดกำหนดอนาคตได้ ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาจากไหน ประเทศที่มองอดีตไม่ออก จะถูกครอบงำโดยผู้นำที่อ้างประวัติศาสตร์ผิด ๆ การเรียนประวัติศาสตร์มีความสำคัญอย่างลึกซึ้งต่อการเมืองและนโยบาย ไม่ใช่เพราะมันเป็น “เรื่องเก่า” แต่เพราะมันคือฐานข้อมูลเชิงอำนาจของสังคมทั้งสังคม เหมือนเรากำลังเปิดแฟ้มลับที่บันทึกทั้งความสำเร็จ ความผิดพลาด และแรงผลักดันที่ทำให้โครงสร้างอำนาจในปัจจุบันเป็นแบบที่เป็นอยู่

ประวัติศาสตร์คือเส้นทางเดินของการตัดสินใจ

ทุกนโยบายที่เราเห็นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาษี การต่างประเทศ การศึกษาหรือความมั่นคง ล้วนถูกหล่อขึ้นมาจากการตัดสินใจของรุ่นก่อน ทั้งถูกและผิด การเข้าใจเหตุการณ์เหล่านั้นทำให้เห็นว่า “อะไรเคยเวิร์ก อะไรเคยพัง” และเพราะอะไรถึงพัง เวลานักการเมืองผลักดันนโยบายใด ๆ พวกเขากำลังอ้างอิง “แบบเรียนทางการเมือง” ในอดีต แม้จะไม่พูดตรง ๆ ก็ตาม

ประวัติศาสตร์เป็นห้องทดลองทางสังคม

วิทยาศาสตร์มีการทดลองในห้องแล็บ แต่รัฐศาสตร์ทดลองกับคนจริงๆ และประวัติศาสตร์คือห้องทดลองของความผิดพลาดมนุษย์ ประวัติศาสตร์จึงเป็นเหมือน “บันทึกผลการทดลอง” ที่เกิดขึ้นแล้ว

นโยบายสาธารณะจำนวนมากล้มเหลวเพราะคิดว่าปัญหาใหม่ไม่เหมือนใคร แต่พอเปิดแฟ้มประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าส่วนใหญ่คือแพทเทิร์นเดิม ผู้นำมั่นใจเกินไป ระบบตรวจสอบถดถอย นโยบายขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ชนชั้นนำประเมินประชาชนผิด กระทั่งสงครามที่เกิดจาก “การเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายผิด” ก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือ “ราคา” ของความผิดพลาด

นโยบายบางอย่างผิดแค่ครั้งเดียว อาจต้องจ่ายด้วยทศวรรษของความเสียหาย เช่น วิกฤตการเมืองปี 49–57 หรือหากจะออกนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เราต้องย้อนดูวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 ว่ามาตรการตอนนั้นส่งผลกระทบอย่างไร เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิม ฯลฯ ความเข้าใจอดีตทำให้สังคมระวังตัวมากขึ้นเมื่อเห็นสัญญาณซ้ำรอย

ประวัติศาสตร์คือเกราะป้องกันปัญญา

รัฐบาลที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์จะถูกปั่นง่าย ถูกหลอกง่าย ถูกลากซ้ำรอยความผิดพลาดเดิมๆ และมองสถานการณ์ระหว่างประเทศแบบแบน ๆ อ่านเกมมหาอำนาจไม่ออก

ประวัติศาสตร์ช่วยให้เข้าใจรากเหง้าของความขัดแย้ง

ปัญหาการเมืองส่วนใหญ่ไม่ได้เพิ่งเกิดวันนี้ แต่เป็นผลพวงจากอดีต ตัวอย่างเช่น ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ปัญหาพรมแดนไทย-กัมพูชา การจะกำหนดนโยบายแก้ไขได้ ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์การแบ่งเส้นเขตแดนยุคอาณานิคม หรือสนธิสัญญาในอดีต หากผู้นำไม่แม่นประวัติศาสตร์ อาจตัดสินใจพลาดจนเสียดินแดนหรือเกิดสงครามได้

ประวัติศาสตร์ช่วยการทำนายแนวโน้มในอนาคต

แม้ประวัติศาสตร์อาจไม่ซ้ำรอยเป๊ะๆ แต่มักจะมี “รูปแบบ” (Patterns) ที่คล้ายเดิม (Cyclical) ซึ่งจะช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายมองเห็นสัญญาณเตือนภัย เช่น สัญญาณก่อนเกิดการปฏิวัติ หรือสัญญาณก่อนเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง

ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมือง ประวัติศาสตร์บอกเราว่านโยบายประชานิยมแบบไหนทำแล้วประเทศล้มละลาย หรือนโยบายภาษีแบบไหนทำให้เกิดการจลาจล

ประวัติศาสตร์ทางการทหาร รัฐมักจะระแวงภัยคุกคามรูปแบบเดิมๆ ที่เคยเจอในประวัติศาสตร์  และประวัติศาสตร์การทหารไม่ได้บอกแค่ว่าใครชนะใครแพ้ แต่บอกว่า ชนะเพราะอะไรและแพ้เพราะอะไร

ประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง กำหนด “ความชอบธรรมและเป้าหมายสูงสุด“ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญที่สุดและเป็นนามธรรมที่สุด คือการตอบคำถามว่า รัฐนี้ดำรงอยู่เพื่ออะไร? ไม่มีชาติใดกำหนดอนาคตได้ ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาจากไหน

ประเทศที่มองอดีตไม่ออก จะถูกครอบงำโดยผู้นำที่อ้างประวัติศาสตร์ผิด ๆ

เห็นตัวอย่างพรรคส้มที่มีผู้นำที่อ้างประวัติศาสตร์ผิด ๆ มั้ย เขาบอกว่า ผู้ที่ปกป้องชาติไม่ใช่กษัตริย์ แต่เป็นประชาชน เพราะประชาชนเป็นคนออกไปรบไม่ใช่พระมหากษัตริย์

”ประเทศนี้มีชาติอยู่ทุกวันนี้ เพราะว่าไพร่ที่ล้มตายเพื่อปกป้องประเทศ ตายกันไปกีร้อยกี่พันคน เป็นไพร่ทั้งนั้น อเมริกาไม่มี กษัตริย์ก็อยู่กันได้“

อันนี้ถือเป็น ตรรกะวิบัติทางประวัติศาสตร์ และเป็นประวัติศาสตร์แนวโฆษณาชวนเชื่อ มากกว่า “ข้อเท็จจริง”

แนวคิดนี้ “ไม่ตรงกับความจริงของประวัติศาสตร์มนุษย์ทั่วโลก” วาทกรรมนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อปลุก “สำนึกความเป็นเจ้าของประเทศ” เพื่อบอกประชาชนว่า “ประเทศนี้เป็นของคุณนะ บรรพบุรุษคุณก็สร้างมาเหมือนกัน ไม่ใช่ของผู้นำเพียงคนเดียว” เพื่อลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นนำและเพิ่มอำนาจต่อรองให้ประชาชน

จริงอยู่ว่า ประชาชนคือผู้จับอาวุธ ผู้เสียเลือดเนื้อ แต่… สงครามชนะด้วย 4 แกนสำคัญ  1. ยุทธศาสตร์ (strategy)

 2. การจัดกำลัง (logistics)  3. การทูต (alliances)  4. การระดมทรัพยากรของรัฐ (state capacity) ซึ่งในทุกประเทศผู้นำเป็นตัวกำหนด 4 แกนสำคัญนี้แทบทั้งหมด

ในทางประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ มีทฤษฎีหนึ่งเรียกว่า “ทฤษฎีมหาบุรุษ” (Great Man Theory) ซึ่งเชื่อว่าประวัติศาสตร์ถูกขับเคลื่อนโดยผู้นำที่มีความสามารถเหนือธรรมดา ผู้ที่สามารถชนะสงครามด้วย 4 แกนสำคัญข้างต้น

ไม่มีสมอง → ร่างกายเคลื่อนไม่เป็นระบบ

ไม่มีร่างกาย → สมองไม่มีใครให้สั่งการ

สองอย่างต้องไปด้วยกัน

ตัวอย่าง:  พระนเรศวรชนะหงสาวดี เพราะ ชั้นเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่จำนวนไพร่  สมเด็จพระเจ้าตากสินกู้ชาติ เพราะ การตัดสินใจเร็ว  รัชกาลที่ 5 รักษาเอกราช เพราะ ความสามารถด้านการทูตต่อสองมหาอำนาจ ไม่มีผู้นำเหล่านี้ → ไทยคงเป็นอาณานิคมเหมือนพม่า–ลาว–กัมพูชา ผู้นำที่มีปัญญา–ตัดสินใจดี–จัดทัพ–เจรจาทูต–บริหารทรัพยากร คือปัจจัยสำคัญที่แยกชาติที่อยู่รอดออกจากชาติที่ล่ม

ดังนั้น “การเรียนประวัติศาสตร์สำคัญต่อเรื่องการเมืองและนโยบาย” ไม่มีชาติใดกำหนดอนาคตได้ ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาจากไหน ประเทศที่มองอดีตไม่ออก จะถูกครอบงำโดยผู้นำที่อ้างประวัติศาสตร์ผิด ๆ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

🛑LIVE ‘ดร.สุวิชา’ เปิดชัดๆ นิด้าโพล เลือกตั้ง’69 พลิกล็อก.!? พรรคต่อพรรค-ภาคต่อภาค | อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร

‘ดร.สุวิชา’ เปิดชัดๆ นิด้าโพล เลือกตั้ง’69 พลิกล็อก.!? พรรคต่อพรรค-ภาคต่อภาค อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 06 ธันวาคม พ.ศ.2568

'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้