
เฉลยแล้วทำไมโดรนกัมพูชารุกหนัก 5 วันติด ใช้เนิน 745 , 677 พื้นที่สูง และใช้ระบบไฟเบอร์ออปติก ป้องกันเจมเมอร์ไทย ซากโดรนชี้ร่องรอยต่างชาติคุมโจมตีไทย พบเทคนิคเดียวกับสมรภูมิยูเครน–รัสเซีย
12 ธ.ค. 2568 - ข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากการสู้รบ ตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา 5 วันที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้โดรนเป็นยุทโธปกรณ์ในการเข้าโจมตี ฝั่งไทยเป็นจำนวนหลายครั้ง กระทั่งมีการตรวจพบว่าผู้ที่บังคับโดรนดังกล่าวไม่ใช่คนกัมพูชา จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์จนชัดเจนว่า โดรนที่กัมพูชาใช้กับไทย คล้ายกับมีการใช้ในสงครามยูเครน - รัสเซีย
การพัฒนาสงครามสมัยใหม่ทำให้โดรนกลายเป็นอาวุธที่เปลี่ยนรูปแบบการรบอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ " โดรน FPV แบบพุ่งชน หรือที่เราเรียกกันว่าโดน Kamikaze "ที่ใช้ในสงครามยูเครน–รัสเซีย ซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญที่หลายประเทศนำไปประยุกต์ใช้ รวมถึงกัมพูชาใช้ในเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทยในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับการวิเคราะห์รูปแบบโครงสร้าง อุปกรณ์ และภูมิยุทธศาสตร์จากซากโดรนที่ยึดได้ในพื้นที่ไทย ทำให้เห็นความเชื่อมโยงของแนวคิดทางยุทธวิธี และสาเหตุที่กัมพูชาสามารถใช้โดรนได้ แม้ไม่มีประวัติการฝึกมาก่อนอย่างชัดเจน
"โดรน FPV" ในสงครามยูเครน–รัสเซีย เป็นตัวอย่างของอาวุธต้นทุนต่ำ ที่สร้างผลทำลายสูง โครงสร้างหลักประกอบด้วย 1.เฟรมคาร์บอนไฟเบอร์ 2.มอเตอร์ 4 ตัว และ3.กล้อง FPV ที่เชื่อมต่อแว่นควบคุมแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ควบคุมสามารถนำโดรนพุ่งเข้าหาเป้าหมายด้วยความแม่นยำสูงมาก ขณะเดียวกันยังมีการติดหัวรบขนาดเล็กหรือดัดแปลงจากกระสุนปืนใหญ่ ปืนกล หรือหัวรบ RPG ด้วยต้นทุนต่ำ แต่มีผลทางยุทธวิธีสูง
การผลิตจำนวนมากแบบโรงงานภาคสนาม ทำให้กองกำลังยูเครนและรัสเซียสามารถใช้โดรนเป็นหมู่โจมตีแนวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นเหตุการณ์ที่ถูกนำไปศึกษาและเลียนแบบทั่วโลก
รานงานจากกองทัพภาคที่ 2 ยังเปิดเผยอีกว่า เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับซากโดรนที่ทหารไทยยึดได้ในพื้นที่ช่องบกและช่องอานม้า พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับโดรน FPV ที่ใช้ในสงครามยูเครน–รัสเซีย อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเฟรมขนาด 5 นิ้ว , แบตเตอรี่ LiPo พร้อมหัวต่อ XT60, โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ และรูปแบบการติดหัวรบด้วยสายรัดและเคเบิลไทร์ รวมทั้งชิ้นส่วนภายในที่บ่งชี้ว่าเป็นโดรนพุ่งชน ไม่ใช่โดรนลาดตระเวน การตรวจจับสัญญาณยังพบการเข้ามาจากทิศทางกัมพูชาในห้วงเวลาเดียวกับการปะทะ ทำให้ยืนยันได้ว่าการโจมตีดังกล่าวมีแบบแผนและถูกควบคุมโดยผู้ที่มีความรู้ในระบบ FPV อย่างจริงจัง
รานงานจากกองทัพภาคที่ 2 เผยต่อว่า การนำโดรนทั้งระบบจากสมรภูมิยุโรปตะวันออกมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากข้อจำกัดด้านการขนส่งและการควบคุมยุทโธปกรณ์ระหว่างประเทศ สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าคือการนำความรู้ เทคนิค บุคลากร และต้นแบบการประกอบเข้ามาเผยแพร่ให้กัมพูชา ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบทั่วไปในสงครามพร็อกซีในศตวรรษที่ 21 ความรู้ด้านการประกอบโดรน FPV และการฝึกนักบินสามารถถ่ายทอดได้รวดเร็ว และผู้เชี่ยวชาญสามารถเดินทางเข้าประเทศภายใต้สถานะพลเรือน เช่น นักกีฬาโดรน ช่างเทคนิค หรือที่ปรึกษาเอกชน พร้อมนำอุปกรณ์ควบคุมที่พกพาง่ายเข้ามาด้วยโดยไม่สะดุดสายตา หนึ่งในหลักฐานที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้คือการพบคำสั่งเสียงภาษาอังกฤษ เช่นคำว่า “finished” ซึ่งไม่ใช่ภาษาที่ทหารกัมพูชาใช้ตามปกติ แต่เป็นสำนวนที่พบในการสื่อสารของนักบิน FPV ในสงครามยูเครน–รัสเซีย
สำหรับความแม่นยำในการโจมตี จุดเลือกพื้นที่ และพฤติกรรมการบินล้วนสะท้อนว่าผู้ควบคุมโดรนมีประสบการณ์มาก่อน และไม่ใช่กำลังพลกัมพูชาที่เพิ่งฝึกใช้โดรนเป็นครั้งแรก ความสามารถเช่นนี้ต้องอาศัยการฝึกระดับสูง และเป็นไปได้ว่าเกิดจากการสนับสนุนของบุคคลภายนอกประเทศหรือที่ผ่านสมรภูมิจริงมาแล้ว
ส่วนจุดเด่นอีกข้อของโดรนที่กัมพูชาใช้คือ ระบบควบคุมผ่านสายไฟเบอร์ออปติก ซึ่งไม่สามารถถูกรบกวนสัญญาณด้วยระบบ jammer ของฝ่ายไทย การใช้สายควบคุมทำให้การสั่งการมีเสถียรภาพสูงในพื้นที่ภูเขา แต่ต้องใช้ทักษะสูงมากในการปฏิบัติการ แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการและการฝึกที่เป็นระบบ ไม่ใช่ความสามารถระดับพื้นฐานของทหารกัมพูชาในอดีต
“การเลือกพื้นที่โจมตี เช่น ช่องบกและช่องอานม้า เป็นผลจากการประเมินภูมิยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน จุดสูงของกัมพูชา เช่น เนิน 745 ,677 เปิดมุมมองกว้างเหนือพื้นที่ของไทย ทำให้ใช้เป็นฐานปล่อยโดรนได้อย่างปลอดภัยและมีความได้เปรียบ โดรนที่บินจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำควบคุมง่ายกว่า อีกทั้งลักษณะภูมิประเทศที่มีหุบเขา ร่องน้ำ และป่าทึบยังช่วยอำพรางสายไฟเบอร์ออปติก ทำให้ฝ่ายไทยตรวจจับได้ยาก การเลือกพื้นที่เช่นนี้จึงสะท้อนความเข้าใจลึกซึ้งของกัมพูชาเกี่ยวกับภูมิประเทศและลักษณะการรบด้วยโดรนสมัยใหม่”
ผลกระทบต่อการรบของฝ่ายไทยจึงมีหลายด้าน ทั้งความเสียเปรียบทางภูมิประเทศ อุปกรณ์ jammer ที่ไม่สามารถใช้ได้กับโดรนแบบใช้สาย และแรงกดดันทางจิตวิทยาที่เกิดจากการโจมตีที่มองไม่เห็นแหล่งต้นทาง ทำให้ต้องปรับยุทธวิธีการตั้งรับใหม่ทั้งหมด รวมถึงการพัฒนาระบบตรวจจับ การยิงสกัด และการจัดกำลังในพื้นที่ให้เหมาะสมขึ้น
จากการประเมินทั้งหมดนี้สามารถสรุปได้ว่า กัมพูชาไม่ได้มีความเหนือกว่าไทยในด้านเทคโนโลยีทางทหาร แต่ได้เปรียบจาก "การเลือกพื้นที่โจมตีที่เหมาะสม ร่วมกับ การนำเทคนิคและน่าจะมีการบุคลากรจากสงครามยูเครน–รัสเซียมาใช้จริง " ทำให้โดรน ของกัมพูชามีประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเป็นบทเรียนสำคัญที่ไทยต้องนำไปพัฒนากำลังรบในมิติใหม่ของสงครามโดรนต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ยุบสภาในยามสงคราม : ไม่ใช่ทางออก และไม่ใช่ประชาธิปไตย
รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความ เรื่อง ยุบสภาในยามสงคราม: ไม่ใช่ทางออก และไม่ใช่ประชาธิปไตย มีเนื้อหาดังนี้
'ตั้ม' ฟาด 'สส.หนีทหาร' ช่วยหุบปากเพื่อประเทศซักทีเถอะ
นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้นายนายจิรัฏฐ์ ว่า
อย่ารีบ เจรจาหยุดยิง หากยังไม่สร้าง สันติภาพที่ยั่งยืน
รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความ เรื่อง อย่ารีบเจรจาหยุดยิง หากยังไม่สร้างสันติภาพที่ยั่งยืน มีเนื้อหาดังนี้
'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ฟาดนักการเมืองไทยใจเป็นทาส ให้ผู้นำไทยโทรหา 'ทรัมป์'
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกรณีนักการเมืองเสนอแนะให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โทรหา โดนัล ทรัมป์
กัมพูชาระดมยิงหนักไม่สนมีทหารตัวเองอยู่ในพื้นที่!
ทภ.2 เปิดข้อมูลรบเดือด ฝ่ายกัมพูชาโจมตี 'ช่องบก- ช่องอานม้า' ส่งฝูงโดรนเข้าเนิน 677 กว่า 80 เที่ยว ใช้จรวด BM21 ยิงเข้าภูมะเขือ พร้อมระดมยิงบริเวณปราสาทคนาทั้งที่มีทหารฝ่ายตัวเองอยู่ด้วย
ทภ.1 เผย 3 แนวรบ จ. สระแก้ว กัมพูชา ระดมยิง BM-21 เข้าบ้านหนองจาน
กองทัพภาคที่ 1 รายงาน สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว วันที่10 ธ.ค. 68 ห้วงเวลา 09.00 น.จำนวน 3 แนวรบหลักได้แก่

