การตั้งคำถามต่อการใช้กำลังของรัฐ : เหตุผล ความรับผิดชอบ และอคติทางการเมือง


21ธ.ค.2568- รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความเรื่อง การตั้งคำถามต่อการใช้กำลังของรัฐ : เหตุผล ความรับผิดชอบ และอคติทางการเมือง มีเนื้อหาดังนี้

การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและกองทัพในยามที่ประเทศเผชิญความตึงเครียดจากการปะทะบริเวณชายแดน ถือเป็นหน้าที่อันชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย คำถามว่า “รัฐจะใช้กำลังเพื่ออะไร และจะจบลงอย่างไร” เป็นคำถามที่ถูกต้องในเชิงหลักการ และเป็นคำถามที่สังคมควรได้รับคำอธิบายอย่างมีเหตุผล อย่างไรก็ตาม ความชอบธรรมของการตั้งคำถามดังกล่าว มิได้ขึ้นอยู่กับตัวคำถามเพียงอย่างเดียว หากขึ้นอยู่กับ กรอบคิด ระดับ และวิธีการนำเสนอ ไม่น้อยไปกว่ากัน

เมื่อมีการตั้งคำถามต่อการใช้กำลังของรัฐ ว่า “หากจะใช้กำลัง มีการเตรียมความพร้อมอย่างไร” หรือ “การใช้กำลังมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ใด” คำถามเช่นนี้ย่อมมีคุณค่าในการตรวจสอบ เพราะช่วยเปิดพื้นที่ให้รัฐชี้แจงเป้าหมาย ขอบเขต และความชอบธรรมของการตัดสินใจด้านความมั่นคง แต่เมื่อคำถามเดียวกันถูกขยายต่อด้วยกรอบสมมติฐานสุดโต่ง อย่างการถามว่าจะ “รบถึงไหน” หรือ “จะบุกยึดประเทศคู่ขัดแย้งหรือไม่” กรอบของการถกเถียงก็ถูกผลักออกไปสู่การสร้างภาพความรุนแรงที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

ในทางรัฐศาสตร์และยุทธศาสตร์ความมั่นคง การใช้กำลังของรัฐมิได้มีเพียงทางเลือกแบบสุดขั้วระหว่าง “การยอมรับการรุกล้ำอธิปไตยโดยไม่ตอบโต้ หรือ การเพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิพรมแดน” กับ “การทำสงครามเต็มรูปแบบ” หากมีระดับและรูปแบบที่หลากหลาย ตั้งแต่การป้องปราม การตอบโต้ในวงจำกัด การใช้อาวุธตามหลักสัดส่วนและความจำเป็น ไปจนถึงการใช้กำลังเพื่อสร้างเงื่อนไขให้การทูตดำเนินไปได้ แต่การตั้งคำถามที่ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่า การใช้กำลังทุกรูปแบบ อย่างในกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่เห็นชัดว่าไทยป้องกันตนเองและทำสงครามปกป้องอธิปไตย ให้กลายเป็นการรุกรานกัมพูชา จะเอามาเป็นจังหวัดที่ 78 หรือจะมุ่งสังหารผู้นำฝ่ายตรงข้าม จึงเป็นการบิดเบือนความซับซ้อนของการตัดสินใจเชิงความมั่นคงอย่างไม่เป็นธรรม

กลุ่มวาทกรรมบางประเภทที่ใช้ถ้อยคำและการเปรียบเปรย เชื่อมโยงการใช้กำลังของรัฐ ให้ดูเป็นการล้างแค้นหรือการรุกรานที่ป่าเถื่อน แม้จะอยู่ในรูปของคำถาม หรือจะอ้างว่าเป็นการเล่นสำนวนเปรียบเทียบแดกดันหาความจริง ก็มีผลทำให้กรอบการถกเถียงอย่างมีเหตุผล ไปสู่การกระตุ้นอารมณ์ของผู้ฟัง ผลลัพธ์ของวาทกรรมเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีเจตนาใดก็ตาม คือการทำให้สาธารณชนมองการใช้กำลังของรัฐในลักษณะเหมารวม และลดทอนความชอบธรรมตั้งแต่ต้น ทั้งที่ในความเป็นจริง รัฐยังไม่เคยเสนอแนวทางหรือเป้าหมายในลักษณะสุดโต่งเช่นนั้นอย่างเป็นทางการ แม้รัฐจะมีหน้าที่ต้องสร้างความกระจ่างเพื่อลดช่องว่างของข่าวลือ แต่การตั้งคำถามจากภาคสังคมก็ควรตั้งอยู่บนสมมติฐานที่สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างมีความรับผิดชอบด้วย

ในทำนองเดียวกัน การดึงบริบททางประวัติศาสตร์แบบจักรวรรดินิยมขึ้นมาใช้เปรียบเทียบ เช่น การผนวกดินแดนหรือการตั้งผู้ปกครองหุ่นในประเทศอื่น อาจสร้างความสะใจทางวาทศิลป์ แต่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน ซึ่งถูกกำกับด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ บรรทัดฐานสากล และข้อจำกัดทางโครงสร้างที่แตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง การใช้กรอบเปรียบเทียบเช่นนี้จึงไม่ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจปัญหาดีขึ้น หากกลับปิดพื้นที่ของการถกเถียงกันอย่างอารยะ

การตั้งคำถามต่อการใช้กำลังของรัฐไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกปิดกั้น ตรงกันข้าม สังคมควรสนับสนุนการตรวจสอบที่มีคุณภาพ แต่การตรวจสอบนั้นจำเป็นต้องตั้งอยู่บนความรับผิดชอบทางปัญญา ไม่ใช้การสร้างภาพสุดโต่งมาปิดพื้นที่ของความเป็นไปได้ และไม่ปล่อยให้อคติทางการเมืองบดบังความซับซ้อนของโลกแห่งความเป็นจริง

คำถามที่มีคุณค่าทางประชาธิปไตยจึงควรมุ่งไปที่เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ เงื่อนไขของการใช้และยุติกำลัง และกรอบความชอบธรรม มากกว่าการตั้งสมมติฐานสุดโต่งที่ทำให้การถกเถียงถูกตัดสินไปแล้วตั้งแต่ต้น

การยกระดับการตั้งคำถามให้พ้นจากวาทกรรมเชิงอารมณ์ จึงไม่ใช่การปกป้องรัฐหรือกองทัพ และยิ่งไม่ใช่การกระหายสงครามหรือการคลั่งชาติ หากเป็นการปกป้องคุณภาพของประชาธิปไตยเอง ประชาธิปไตยที่ต้องตั้งอยู่บนการวิพากษ์อย่างรอบคอบ มีเหตุผล และเปิดพื้นที่ให้ความจริงอย่างมีความรับผิดชอบ มากกว่าอคติ

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยังกู้ร่างทหารบนเนิน350ไม่ได้ 'กัมพูชา' ยิงถล่มหวังชิงพื้นที่คืน พบโดรนหลายจุดเข้าฝั่งไทย

ยังกู้ร่างทหารบนเนิน350ไม่ได้ 'กัมพูชา' ยิงถล่มด้วยอาวุธหลายชนิดสกัด หวังชิงพื้นที่คืน ขณะที่ด้านศรีสะเกษ กระสุนใหญ่ตกที่ 'บ้านภูมิซลอน–ทางขึ้นผามออีแดง' พบโดรนหลายจุดเข้ามาถล่มฝ่ายไทยไม่หยุด

'คนขอนแก่น' อบรมเยาวชนต่อต้านสงครามหน้ามข.เป็นเหยื่อกลุ่มเซาะกร่อนบ่อนทำลายชาติ

'ไทกร' ประกาศไม่ลดความเป็นไทย ย้ำเขมรลุกล้ำอธิปไตย อบรมเยาวชนต้านสงครามหน้ามข. ไม่แสวงหาข้อเท็จจริงอย่างถ่องแท้ ตกเป็นเครื่องมือกลุ่มบุคคลที่กำลังเซาะกร่อนบ่อนทำลายประเทศเป็นเหยื่อชาติมหาอำนาจผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

ความจริงที่อยู่เบื้องหลังสงครามไทย-กัมพูชา สงครามหมากล้อมระหว่างจีนและลุงแซม

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก เรื่อง ความจริงที่อยู่เบื้องหลังสงครามไทย-กัมพูชา มีเนื้อหาดังนี้

'จตุพร' ฟาด กกต.ขี้โม้ อวดจัดเลือกตั้งกลางสนามรบ แนะเลื่อนรับสมัครสส. ไปปีหน้า

'จตุพร' เตือนการเมืองแบบวงศ์วานเครือญาติ 'ชินดาวงศ์' มีบทเรียน รู้ผลลัพธ์จบไม่สวย ลั่นประเทศไม่ใช่ห้องทดลองการบริหารบ้านเมือง