นักวิชาการ ชี้ สส.บัญชีรายชื่อ คละบ้านใหญ่-เทคโนแครต สะท้อนการเมืองเน้นนโยบาย

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ระบุ รายชื่อ สส. ในบัญชีรายชื่อ สะท้อนว่าพรรคการเมืองให้ความสำคัญกับนโยบายมากขึ้น เหตุคละกันระหว่าง“บ้านใหญ่-นักธุรกิจ” กับ “เทคโนแครต-นักวิชาการ” เพื่อทำนโยบายให้สำเร็จ ชี้กรณี “พรรคประชาชน” เปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส.เขต กทม. ทำได้ เพราะผู้สมัครคนเดิมลาออกถือว่าขาดคุณสมบัติ แต่ในระยะยาวอาจเสี่ยงมีปัญหาคาราคาซังทางกฎหมาย
 
31 ธันวาคม 2568 - ดร.อภินพ อติพิบูลย์สิน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่แต่ละพรรคการเมืองได้ประกาศลำดับ สส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีข้อสังเกตคือแม้รัฐธรรมนูญจะไม่ได้มีการบังคับว่าคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็น สส. แต่ทว่าบุคคลที่อยู่ในอันดับหนึ่งใน สส.บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน ล้วนแต่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น ตรงนี้สะท้อนว่า การออกแบบรัฐธรรมนูญของไทยอาจคิดเยอะเกินไปในเรื่องการกำหนดให้มีระบบแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะสุดท้ายประชาชนย่อมคาดหวังว่าผู้สมัคร สส. บัญชีรายชื่ออันดับหนึ่งคือว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคนั้นๆ และพรรคการเมืองก็ปรับตัวตามวิถีประชาธิปไตยที่ควรเป็นแล้ว

นอกจากนี้ อีกหนึ่งภาพสะท้อนหลังจากที่ได้เห็นลำดับ สส.บัญชีรายชื่อ คือทุกพรรคการเมืองเริ่มมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับการเมืองเชิงนโยบายมากขึ้น จากในอดีตที่รายชื่อลำดับแรกๆ มักมาจากตระกูลการเมืองบ้านใหญ่หรือนักธุรกิจ ก็พบว่ามีการคละกันโดยนำผู้ที่ความสามารถเฉพาะทาง เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการคลัง หรือด้านเศรษฐกิจ สายเทคโนแครต สายวิชาการ เข้ามาคละมากขึ้น ซึ่งเป็นไปเพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายที่พรรคได้นำเสนอไว้ได้สำเร็จ ส่งผลให้ประชาชนสามารถรับทราบได้ตั้งแต่ก่อนเข้าคูหาเลือกตั้งว่าแต่ละพรรควางตัวบุคคลไว้ทำงานในด้านไหนบ้าง จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นและส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกพรรคที่ตนชื่นชอบแนวนโยบายได้

ดร.อภินพ กล่าวว่า กรณีที่พรรคประชาชนเปลี่ยนตัวผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขต กรุงเทพมหานคร เขต 33 (บางพลัด-บางกอกน้อย ยกเว้นแขวงศิริราช)นั้น สามารถทำได้ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 50 ประกอบ มาตรา 41 (3)คือผู้สมัครรายเดิมลาออกจากสมาชิกพรรคการเมืองจึงเข้าข่ายขาดคุณสมบัติตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้แม้ในระยะสั้นอาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ในระยะยาวอาจเสี่ยงกลายเป็นประเด็นที่จะทำให้เกิดความคาราคาซังทางกฎหมายได้

ทั้งนี้ หากมีข้อถกเถียงกันต่อไปว่าการเปลี่ยนแปลงผู้สมัครในครั้งนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งตามกระบวนการแล้วผู้สมัครรายอื่นหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนอื่นสามารถทักท้วงไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันประกาศรายชื่อผู้สมัครได้ หรือในกรณีที่ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตนั้นๆ ตรวจสอบแล้วพบว่ามีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้ถอนชื่อบุคคลนั้นออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัครได้ ประเด็นก็คือหากกระบวนการที่กล่าวมาข้างต้นไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนจัดการเลือกตั้ง กฎหมายระบุไว้ว่าให้ดำเนินการเลือกตั้งต่อไปก่อนแล้วค่อยมาเดินหน้ากระบวนการต่างๆ ต่อไป ตรงนี้อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความคาราคาซังทางกฎหมายในระยะยาวต่อไป

“พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 50 ระบุไว้ว่า พรรคการเมืองสามารถถอนหรือเปลี่ยนแปลงตัวผู้สมัครได้ใน 3 กรณี ได้แก่ กรณีผู้สมัครเสียชีวิต กรณีขาดคุณสมบัติ และกรณีมีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด โดยต้องกระทำก่อนวันปิดรับสมัคร ซึ่งผู้สมัครคนเดิมของพรรคประชาชนไม่เข้าข่ายกรณีมีลักษณะต้องห้าม เพราะในมาตรา 42 (12) ระบุไว้ว่าต้องเป็นกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้มีโทษจำคุก ขณะที่ผู้สมัครคนดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการออกหมายจับเท่านั้นความเห็นผมมันจึงค่อนข้างชัดว่าเป็นเรื่องของการขาดคุณสมบัติ เพราะตามมาตรา 41 (3) บอกไว้ว่าต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ถ้ามีการลาออก ซึ่งผู้สมัครคนเดิมของพรรคประชาชนก็ลาออกจริงๆ มันก็มีผลโดยตรงว่าเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติแล้ว” ดร.อภินพ กล่าว

สำหรับกรณีที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นว่าเมื่อผู้สมัครทำการสมัครไปแล้วก็ไม่ควรมีการถอนตัวได้ เพราะหาก กกต.ให้เปลี่ยนแปลงผู้สมัครได้ในอนาคตอาจจะเกิดปัญหาที่ใหญ่กว่าเนื่องจากในอดีตเคยมีกรณีการใช้อามิสสินจ้างเข้าไปกดดันให้ผู้สมัครถอนตัวมาแล้ว ดร.อภินพ กล่าวว่า พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการรับบุคคลเข้ามาเป็นตัวแทนของพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตนั้นๆ จะต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนที่พรรคได้กำหนดไว้ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมีการไปกดดันและเปลี่ยนตัวกันได้ตามใจ อีกทั้งมาตรา 49 และมาตรา 50 ระบุไว้ด้วยว่าจะต้องมีคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีการประกาศรับสมัครบุคคลที่จะเข้ามาแทนที่ และจะต้องมีกระบวนการทำไพรมารี่โหวตรับรอง โดยให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวเห็นชอบอีกครั้ง ซึ่งจะเห็นว่ารายละเอียดกระบวนการขั้นตอนนั้นไม่แตกต่างกับการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งตามปกติ เพราะผู้ที่เข้ามาแทนก็ต้องย้อนกลับไปทำตามกระบวนการเดิมเช่นกัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ร้อง กกต. คัดค้านพรรคประชาชน เปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส. เขต 33 ใช้เบอร์เดิม

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถนนแจ้งวัฒนะ นายอนันตเดช ธนวิภารัตน์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หมายเลข 12 เขตเลือกตั้งที่ 33 และนายธิติพัทธ์ นรวิทยโชติกุล ผู้สมัครหมายเลข 4 เขตเลื

‘ม้ามืดชานเมือง ของภูมิใจไทย อ.นัส เขต 17’

ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคภูมิใจไทย ทําการบ้านในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการคัดสรรผู้สมัครที่มีคุณภาพมีความยึดโยงกับประชาชนและพื้นที่เลือกตั้ง

ไชยา เบอร์ 7 กล้าธรรม ชูผันน้ำโขง-เลย-ชีมูล ดัน สปก.เป็นโฉนด

“ไชยา” หมายเลข 7 เขต 2 จ. หนองบัวลำภู พรรคกล้าธรรม ประกาศนโยบายหาเสียง กับชาวหนองบัวลำภู ปัดฝุ่นระบบผันน้ำ "โครงการโขง เลย ชีมูล” แปลง สปก.เป็นโฉนดเพื่อการเกษตรครุฑแดง ลั่น หนี้สินเกษตรและครู ต้องมีโครงสร้างสหกรณ์กลางมาจัดการ

‘ดร.เจษฏ์’ ปูด ‘ทุนเทา’ ทุ่มแสนล้านในการเลือกตั้ง ซื้อประเทศไทย

นายเจษฏ์ โทณะวณิก แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครักชาติ (รช.) กล่าวถึงสถานการณ์การแทรกแซงทางการเมืองของกลุ่มทุนสีเทา ว่า ล่าสุดมี

‘ลูกชายเจ๊แดง’ หว่านนโยบายประชานิยม ขุด รถไฟ 20 บาท มาขายต่อ

ที่ตลาดวัดเกาะ เขตสายไหม กทม. นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์​​ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์​​ หัวหน้าพรร