สติวิปลาส: เมื่อ 'แพทองธาร' ถูกยกให้คือความอยู่รอดของประเทศ!
“ถ้าแพทองธารไม่รอด ประเทศไทยไปต่อยาก” คือถ้อยคำสติวิปลาสที่ยกบุคคลหนึ่งให้ใหญ่กว่าประเทศทั้งผืน ราวกับการ ฉีกบัตรประชาชนของคนทั้งชาติทิ้ง ศักดิ์ศรีของเจ็ดสิบล้านชีวิตถูกลดเหลือเพียงชะตาของแพทองธาร ทั้งที่
สองวลี สองยุคสมัย: จากบกพร่องโดยสุจริต ถึงบกพร่องโดยขาดประสบการณ์
จากวันที่ทักษิณเอ่ย “บกพร่องโดยสุจริต” จนถึงวันที่แพทองธารเลือกใช้ “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” วลีจากสองรุ่นในตระกูลเดียวกัน ไม่ได้เป็นเพียงคำแก้ต่างในคดี
'นายกรัฐมนตรี' หลัง 29 สิงหาคม 2568
หลังวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ไม่ว่าจะเป็น แพทองธาร ที่ยังอยู่หรือใครก็ตามที่ถูกดันขึ้นมาแทน เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้เริ่มต้นด้วยพลังแห่งความหวัง หากแต่เริ่มต้นด้วย “แรงส่งที่ร่วงหล่น” และ
29 สิงหาคม วันหนึ่งในปฏิทิน: ทุกวันของประชาชน
บางวันถูกทำให้ดังราวกับจะชี้ชะตาแผ่นดิน แต่สิ่งที่โอบอุ้มประเทศมาตลอดไม่ใช่วันนั้น หากคือ “ทุกวันของประชาชน” ที่ยังลุกขึ้นทำงาน หุงข้าว
ตุลาการภิวัฒน์ นิติสงคราม: จาก 'นั่งลงลูก' ถึงคำพิพากษาที่สังคมตัดสินซ้ำ!
ศาลเคยถูกมองว่าเป็น ตุลาการภิวัฒน์ เมื่อคำพิพากษาพ้องใจกับฝ่ายหนึ่ง และถูกมองว่าเป็น นิติสงคราม เมื่อไม่ตรงใจกับอีกฝ่าย กระทั่งถ้อยคำสั้น ๆ ที่กลุ่มหนึ่งยืนยันว่าได้ยินว่า “นั่งลงลูก” ขณะที่อีกกลุ่มบอกว่า “นั่งลงครับ” ก็ยังถูกขยายเป็นชนวนความระแวง ที่ทำให้ทุกคำพิพากษาไม่เคยหยุดอยู่แค่บัลลังก์ หากยังถูกสังคมตัดสินซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
'หลวงพ่ออลงกต' จากสมณเพศแห่งธรรม สู่ผ้าเหลืองในตลาดศรัทธา!
สมณเพศ ที่ควรสูงส่งดัง ระฆังศรัทธากลับแตกกังวานเป็นเสียง บัญชีและตัวเลข “หลวงพ่ออลงกต” คือภาพฉายว่าเมื่อ บาตร กลายเป็น ภาชนะรั่วไหล และ ผ้าเหลือง ถูกแขวนขายกลาง ตลาดบุญ สิ่งที่สังคมสูญเสียมิใช่พระรูปเดียวแต่คือรอยร้าวใหม่ที่สั่นคลอนความเชื่อในพุทธศาสนา
