7 เดือน ‘รัฐบาลเศรษฐา’ เผชิญแรงบีบรอบด้าน!

แม้จะยังไม่ผ่านโค้งแรกในการบริหารประเทศของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เริ่มต้นทำงานได้เพียง 7 เดือน แต่ก็เหมือนถูกบีบจากสถานการณ์รอบด้าน ที่เข้ามาท้าทายความสามารถของผู้นำประเทศ อีกทั้งยังมีภาพนายกฯ ทับซ้อนที่ทำให้นายกฯ นิดดูดร็อปลงไป

เพราะมีทั้งนายใหญ่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ทั้ง 2 คนถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังและเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง

ขณะเดียวกันในการทำงานของรัฐบาลที่มีห้วงเวลา 4 ปี ทำให้นายกฯ นิดต้องติดสปีดสร้างผลงานให้ “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” อยู่ในใจของประชาชนให้ได้ ซึ่งตอนนี้ก็เร่งเดินหน้าหลายด้าน แต่ก็ยังถูกจับผิดและถูกจับจ้องจาก “ฝ่ายค้าน” ว่ายังไม่เห็นอะไรที่จะมีผลออกมาเป็นรูปธรรมได้ในเร็ววัน

ทั้งนี้ หากเช็กกระแสของ นายกฯ เศรษฐา จากการเข้ามาบริหารประเทศครบ 7 เดือน ยังไม่มีอะไรที่หวือหวาจนประชาชนร้องว้าว และแม้นายกฯ นิดจะปรับตัวกับงานทางการเมืองและการเข้าถึงประชาชนได้มากกว่าในช่วงแรกก็ตาม แต่ในห้วงเวลานี้ยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันต่อเนื่อง และจะมากขึ้นเรื่อยๆ หากรัฐบาลยังไม่มีผลงานเป็นที่ปรากฏ

และเมื่อประมวลสิ่งที่รัฐบาลนายเศรษฐาต้องเผชิญตลอดห้วงเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา และยังคงต้องอยู่กับแรงกดดันรอบด้านนี้ต่อไป นั่นคือการแบกความหวังของประชาชน ด้านแรกเรื่องการทำงานและผลงานรัฐบาล ที่นายกฯ นิดเร่ง “ดึงดูดการลงทุน” หวังสร้างเม็ดเงินให้ประเทศระยะยาวได้ในอนาคต แม้จะบินไปเปิดประตูประเทศไทยที่ต่างแดนมาแล้วถึง 14 ประเทศ ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน เพื่อพูดคุยเชื้อเชิญนักลงทุนต่างชาติ หวังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แนบแน่น และยังเร่งเจรจากรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ หรือ FTA แต่กลับถูกมองไปต่างแดน แต่ไร้ผลงาน ไปต่างประเทศถี่ไม่คุ้มค่าเงินที่เสียไปกับการเดินทาง และไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม

และสำหรับเรื่องการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องปากท้องที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลประโคมลดทั้งค่าไฟฟ้า ลดราคาพลังงาน และช่วยลดค่าครองชีพผ่านนโยบายด้านต่างๆ พร้อมโปรยยาหอมระหว่างลงพื้นที่จะเทงบประมาณผ่านโครงการไปสู่ประชาชน ซึ่งขณะนี้ยังต้องรอการอนุมัติงบประมาณ รวมถึงปัญหาหนี้สิน ทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ ที่เริ่มดำเนินการไปแล้ว แต่ก็เหมือนยังไปได้ไม่สุดทาง จนมีเสียงเรียกร้องจากประชาชนอยู่เป็นระยะ

และอีกเรื่องที่ยังแก้ไม่ขาดและมีแรงกดดันจากประชาชน คือเรื่องปัญหาไฟป่า หมอกควัน และค่าฝุ่น PM2.5 ที่นายกฯ ลงไปดูในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วหลายหน แต่ก็ยังไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้จนเป็นที่พอใจ ล่าสุดได้ออก 9 มาตรการแก้ไขปัญหา ทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดไม่มีการละเว้นสำหรับคนที่เผาป่า การตัดสิทธิ์ช่วยเหลือเกษตรกรที่เผาพื้นที่ตนเอง ยกระดับเจรจาประเทศเพื่อนบ้าน ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดชุดเคลื่อนที่ดูแลประชาชนตามบ้าน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ยังต้องรอดูผล หากหนนี้ไม่เป็นที่พอใจของประชาชนอีก รับรองว่าเจอแรงบีบที่หนักขึ้นแน่นอน

ขณะเดียวกันโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่ประชาชนทั้งประเทศรอคอย ที่ถึงแม้จะมีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวไทม์ไลน์ที่ชัดเจนแล้ว แต่ก็ยังมีคำถามต่างๆ ตามมาอีกมากมาย และเชื่อว่าตราบใดที่เงินยังไม่เข้ากระเป๋าประชาชน ก็ยังเป็นที่จับตาของทุกฝ่ายว่ารัฐบาลจะทำได้สุดทางจริง ตามที่สัญญาไว้ตอนหาเสียงหรือไม่

และนอกจากปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว ยังมีปัญหาที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่สวมหมวกประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ด้วย ต้องเจอศึกหนักของวงการสีกากีในช่วงที่ผ่านมา เรียกว่าเข้ามาบริหารประเทศก็เจอปมที่ต้องกุมขมับของ 2 บิ๊กตำรวจ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ลุกลามบานปลายจนบ้านจันทร์ส่องหล้าต้องส่งสัญญาณให้นายกฯ นิดเซ็นคำสั่งให้ 2 บิ๊กตำรวจเข้ามาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีก่อน และยังต้องเร่งกู้ศรัทธาของประชาชนกลับคืนมา ด้วยการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโดยเร็วที่สุด ซึ่งเรื่องนี้อาจทำให้นายกฯ เศรษฐามีเหงื่อตกกันบ้าง

ขณะเดียวกันยังเจอกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่สะพัดตั้งแต่ยังทำงานไม่ครบปี และยังมีโควตาของพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐที่เหลืออยู่ ซึ่งจากกระแสดังกล่าวแม้ไม่สามารถเขย่าบัลลังก์ผู้นำได้ เพราะเจ้าตัวยืนยันหนักแน่นจะไม่มีการปรับ ครม.ในช่วงนี้ เพื่อให้บรรดารัฐมนตรีได้ทำงานเพื่อประชาชนอย่างมีสมาธิได้เต็มที่ แต่ก็คงมีสะท้านกันบ้างในพรรคร่วม

อย่างไรก็ตาม จากหลายสถานการณ์ที่นายเศรษฐาต้องเผชิญในช่วง 7 เดือน และยังเหลือเวลาให้ได้พิสูจน์ฝีมืออีก 3 ปีครึ่ง หากรัฐบาลอยู่ครบเทอม โดยนายกฯ นิดประกาศไว้แล้วว่า เวลาที่เหลือจะมุมานะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น และหวังผลที่จะตามมาคือ ทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งในครั้งหน้าให้ได้!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จับตาระเบียบใหม่ กกต. สกัดฮั้วเลือก 'สว.'

เตรียมนับถอยหลังปิดฉากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดบทเฉพาะกาลที่จะหมดวาระลงในวันที่ 3 พ.ค. 2567 แต่จะยังคงรักษาการจนกว่าจะมีวุฒิสภาชุดใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง หากดูตามไทม์ไลน์ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

ก.ตร. ไฟเขียวแต่งตั้ง 43 นายพลสีกากี 'สุรพงษ์ ชัยจันทร์' ผงาดที่ปรึกษาพิเศษตร.

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เป็นประธานเพื่อประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 3/2567 โดยมีวาระการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ

นายกฯ เผย ก.ตร. มีมติส่งคำร้อง 'บิ๊กโจ๊ก' ให้ฝ่ายวินัยพิจารณาอีกรอบ ปมสั่งช่วยราชการ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 3/2567 ว่า วันนี้วาระสำคัญของการประชุมนอกจากแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ยังมีเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร้องขอความเป็นธรรมทั้งหมด ทั้งที่มีต่อตนในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน ก.ตร.

นายกฯ มั่นใจคุณสมบัติ 'พิชิต' ถามกฤษฎีกาแล้ว อุบ 'มาริษ' แทน 'ปานปรีย์'

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการร้องเรียนให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเตรียมร้อง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ