ซีเรียกลับสู่สันนิบาตอาหรับ ชัยชนะกลับมาเป็นของ 'บาชาร์ อัล-อัสซาด' อีกครั้ง

AFP

เมื่อปี 2011 ซีเรียถูกขับออกจากสันนิบาตอาหรับ หลังจากบาชาร์ อัล-อัสซาดปราบปรามกลุ่มประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย จนถึงทุกวันนี้สงครามกลางเมืองในซีเรียยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงอย่างสมบูรณ์

เป็นเวลานานแล้วที่การติดต่อกับอัสซาดเป็นเรื่องต้องห้ามในประเทศอาหรับส่วนใหญ่ รวมถึงตะวันตกด้วย แต่ยามนี้ซีเรียกำลังกลับสู่สันนิบาตอาหรับอีกครั้ง เบื้องหลังความคืบหน้านี้ยังเป็นการคาดคะเนทางการเมืองและความมั่นใจในตนเองแบบใหม่ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนับวันจะแยกตัวออกห่างจากสหรัฐอเมริกามากขึ้น

นับตั้งแต่เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงบริเวณชายแดนซีเรีย-ตุรเกียเมื่อสามเดือนก่อน อัสซาดพยายามผลักดันประเทศให้กลับเข้าสู่ชุมชนอาหรับมากขึ้นเรื่อยๆ เขาใช้ภัยพิบัติอย่างชาญฉลาดในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลของเขากับชาติต่างๆ อย่างเปิดเผย

การผ่านมติเห็นชอบของรัฐมนตรีในใจกลางกรุงไคโรเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากพิจารณาไตร่ตรองกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง ถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกของอัสซาด แม้นักวิจารณ์จะเห็นค้านในเรื่องความขัดแย้งภายในซีเรีย และจุดร่วมในประเด็นนโยบายต่างประเทศที่สำคัญก็ตาม สำหรับอัสซาด-ซึ่งประเทศและเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่จากการคว่ำบาตรของนานาชาติและสงครามกลางเมือง-นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญในรอบหลายปี

แต่ชัยชนะของอัสซาดครั้งนี้ก็สร้างความขมขื่นใจให้กับชาวซีเรียจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากเขาได้ปฏิบัติต่อฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอย่างเหี้ยมโหดในปี 2011 กระทั่งกลายเป็นชนวนสงครามกลางเมือง ทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิตกว่า 350,000 คน และหลายล้ายคนต้องพลัดถิ่น

การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของซาอุดีอาระเบีย ประเทศหัวแถวในตะวันออกกลางและผู้นำสันนิบาต เป็นปัจจัยชี้ขาดสำหรับการฟื้นฟูซีเรีย เหมือนเช่นที่เคยเป็นผู้นำในการผลักดันซีเรียออกจากกลุ่ม และในช่วงสงครามกลางเมืองอัสซาดเองก็ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ พาซีเรียไปสู่ความโดดเดี่ยว การเจรจาโดยตรงกับตะวันตกยิ่งเป็นเรื่องที่ไกลเกินคาด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ซาอุดีอาระเบียกำลังอยู่ในกระบวนการของการปลดปล่อยตัวเองจากความขัดแย้งในภูมิภาค และปลดปล่อยตัวเองจากผู้รับประกันความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกาด้วย

มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มองความขัดแย้งในภูมิภาคนอกจากมีค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ยังเป็นภัยคุกคามด้านความปลอดภัย และเป็นอุปสรรคต่อแผนการปรับเปลี่ยนประเทศให้ทันสมัยและเป็นอิสระจากน้ำมัน ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงโครงการสร้างเมืองขนาดใหญ่ที่ทะเลแดง เมื่อเดือนมีนาคม ซาอุดีอาระเบียได้ยุติการทูตยุคแช่แข็งกับอิหร่าน ที่เป็นคู่แข่งแย่งชิงอำนาจและอิทธิพลกันในภูมิภาคนี้ การสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ยังปูทางไปสู่การฟื้นฟูซีเรียด้วย

ซาอุดีอาระเบียเคยให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏหลายครั้งในสงครามกลางเมืองซีเรีย ในขณะที่รัฐบาลอิหร่านเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของรัฐบาลอัสซาด

ผู้สังเกตการณ์ระบุว่า กลุ่มประเทศในตะวันออกกลางหวังผลตอบแทนในการต่อสู้กับการค้ายาเสพติดที่อาละวาดอยู่ในซีเรีย ประเทศที่เกิดสงครามกลางเมืองอยู่นี้ผลิตแอมเฟตามีนในปริมาณมาก ซึ่งเข้าถึงประเทศเพื่อนบ้านผ่านทางผู้ลักลอบนำเข้า ว่ากันว่ารัฐบาลอัสซาดมีส่วนร่วมในธุรกิจนี้ด้วย และรายได้หลายพันล้านดอลลาร์ก็ช่วยให้เขาอยู่รอดได้ “อัสซาดมีข้อเสนอเพียงร่างกฎหมายฟื้นฟูที่เป็นไปได้ ซึ่งเล็กน้อยมากสำหรับกลุ่มประเทศอาหรับ” มาลิค อัล-อับเดห์ และลาร์ส ฮอช จากสภาคลังสมองแอตแลนติกของสหรัฐฯ ให้ความเห็น

การฟื้นฟูซีเรียให้กลับสู่สภาพปกติอีกครั้งสะท้อนปฏิกิริยาของกลุ่มประเทศอาหรับต่อระเบียบโลกที่กำลังก่อตัวขึ้นใหม่ ซึ่งตะวันตกกำลังต่อสู้เพื่ออำนาจสูงสุดกับกลุ่มที่ประกอบด้วยจีน รัสเซีย และอิหร่าน มันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับประเทศอาหรับซึ่งมีทรัพยากรทางทหารจำกัด แต่จำเป็นต้องรักษาดินแดนและเอกราชของตนไว้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หลังจากการโจมตีในซีเรีย อิหร่านสาบานจะแก้แค้นอิสราเอล

สมาชิกอาวุโสของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศในกรุงดามัสกัส อิหร่านและซีเรียต่างตำหนิอิส