จีนตั้งเป้าเติบโต 5 เปอร์เซ็นต์ แม้เผชิญสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

จีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตประจำปีไว้ที่ประมาณ 5% พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำให้อุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก เนื่องจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการส่งออก

การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ณ มหาศาลาประชาชน ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม (Photo by Pedro Pardo / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพุธที่ 5 มีนาคม 2568 กล่าวว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ซึ่งเป็นการประชุมทางการเมืองครั้งที่สองในสัปดาห์นี้ โดยมีบุคคลระดับสูงและผู้แทนหลายพันคนมารวมตัวกันที่มหาศาลาประชาชนอันโอ่อ่าในกรุงปักกิ่ง และประเด็นหลักของการประชุมคือการหาแนวทางรับมือกับสหรัฐอเมริกาทึ่ใช้กำแพงภาษีในการกีดกัน

แม้สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออก แต่รัฐบาลปักกิ่งยังกำหนดเป้าหมายการเติบโตประจำปีไว้ที่ประมาณ 5% พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำให้อุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักทดแทนการค้าต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลประกาศเพิ่มเงินทุนการคลังในระดับที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ทำให้การขาดดุลงบประมาณแตะระดับ 4% ในปีนี้ เนื่องจากต้องต่อสู้กับปัญหาการจ้างงานของคนหนุ่มสาว, ความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และวิกฤตหนี้ที่ยืดเยื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ ตัวเลขการเติบโตที่นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงประกาศในการประชุมประจำปีของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นสอดคล้องกับผลสำรวจจากนักวิเคราะห์ของเอเอฟพี แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะบอกว่าตัวเลขดังกล่าวมีความทะเยอทะยานเกินไปเมื่อพิจารณาถึงขนาดของความท้าทายทางเศรษฐกิจของจีนก็ตาม

แผนดังกล่าวมุ่งสร้างงานใหม่ในเมืองต่างๆ ของจีนราว 12 ล้านตำแหน่ง ขณะที่รัฐบาลจะควบคุมให้เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 2% ในปีนี้

รัฐบาลระบุในรายงานการบริหารว่าจะทำให้อุปสงค์ในประเทศเป็นเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนการเติบโต โดยเสริมว่าประเทศควรดำเนินการอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสงค์ในประเทศที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการบริโภคที่ยังน้อยเกินไป

"ในระดับนานาชาติ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบศตวรรษกำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในอัตราที่รวดเร็ว โดยนโยบายฝ่ายเดียวและนโยบายคุ้มครองการค้ากำลังเพิ่มขึ้น ขณะที่รากฐานของการฟื้นตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนภายในของจีนยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ" รายงานของรัฐบาลระบุ

และในความเคลื่อนไหวที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น นายกฯหลี่ เฉียงกล่าวว่าจีนจะเพิ่มการขาดดุลการคลังขึ้น 1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ และนักวิเคราะห์กล่าวว่าจะทำให้รัฐบาลปักกิ่งมีอิสระมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว

นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์กล่าวว่าเป้าหมายการเติบโตของจีนนั้น "ยากแต่เป็นไปได้"

เขากล่าวว่าการบริโภคที่ต่ำเป็นปัญหาด้านความเชื่อมั่น และหากผู้คนมีความกังวลต่อการใช้จ่ายของตนเอง โดยเฉพาะสินค้าราคาแพง ก็ยิ่งยากที่จะแก้ไข

นักวิเคราะห์อีกรายกล่าวว่านโยบายของรัฐบาลปักกิ่งยังไม่ใหญ่พอที่จะกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ

"เราจำเป็นต้องเห็นการฟื้นตัวของการจ้างงาน, รายได้ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ในวงกว้างอย่างแท้จริง ก่อนที่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการบริโภคและแนวโน้มการขายปลีก" นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก The Economist Intelligence Unit กล่าวกับเอเอฟพี

ตลาดหุ้นหลักของเอเชียปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันพุธ โดยพลิกกลับจากการขาดทุนหนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีนแบบเหมารวมเพิ่มเติมตามมาตรการเดียวกันเมื่อเดือนที่แล้ว

คาดว่าภาษีของสหรัฐฯ จะกระทบต่อมูลค่าการค้ารวมหลายแสนล้านดอลลาร์ระหว่างสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก

ทั้งนี้ การส่งออกของจีนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีที่แล้ว แต่ความรู้สึกถูกบดบังด้วยสงครามการค้าที่ขยายตัวมากขึ้นกับสหรัฐฯ

รัฐบาลปักกิ่งประกาศมาตรการของตนเองเพื่อตอบโต้การขึ้นภาษีล่าสุดของรัฐบาลวอชิงตัน และให้คำมั่นว่าจะต่อสู้ในสงครามการค้าจนถึงที่สุด

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้จีนจัดเก็บภาษีสูงถึง 15% กับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของสหรัฐฯ หลากหลายชนิด รวมถึงถั่วเหลือง, เนื้อหมู และข้าวสาลี เริ่มตั้งแต่ต้นสัปดาห์หน้า

นักเศรษฐศาสตร์ประจำจีนแผ่นดินใหญ่ของสถาบันการเงินต่างชาติให้ความเห็นว่า มาตรการตอบโต้ของรัฐบาลปักกิ่งถือเป็น "การตอบสนองที่ค่อนข้างแผ่วเบา" เมื่อเทียบกับมาตรการขึ้นภาษีรอบด้านของทรัมป์

"การตอบโต้สามารถรุนแรงกว่านี้ได้มาก และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่าใด ความเสี่ยงในการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น" เขากล่าว

นักวิเคราะห์ยังกล่าวอีกว่า จีนอาจประกาศแผนเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ โดยเพิ่มมาตรการสนับสนุนเชิงรุกที่ประกาศไปเมื่อปลายปีที่แล้ว

จีนยังเปิดเผยอีกว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศขึ้น 7.2% ในปี 2025 เนื่องจากรัฐบาลกำลังเร่งปรับปรุงกองกำลังติดอาวุธเพื่อรับมือกับความตึงเครียดในภูมิภาคและการแข่งขันเชิงกลยุทธ์กับสหรัฐอเมริกา

นักวิเคราะห์กล่าวว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างปักกิ่งและวอชิงตันมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในปีนี้ โดยสถานะของไต้หวันที่ปกครองตนเองซึ่งจีนอ้างสิทธิ์ในฐานะส่วนหนึ่งของดินแดนอธิปไตยของตน จะเป็นแหล่งที่มาของความขัดแย้งหลัก

คาดว่าการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศจะนำไปเป็นทุนสำหรับการส่งเครื่องบินทหารไปรอบๆ เกาะไต้หวันให้บ่อยครั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกดดันเจ้าหน้าที่ในเกาะประชาธิปไตยแห่งนี้.

เพิ่มเพื่อน