สหรัฐฯ ขยายขอบเขตภาษีศุลกากร โดยเริ่มเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมแบบเหมารวมและไม่มีข้อยกเว้น ตามที่ทำเนียบขาวให้คำมั่นสัญญา แม้ว่าหลายประเทศจะพยายามเจรจาต่อรองแล้วก็ตาม

โรงงานผลิตวัสดุอลูมิเนียมในมณฑลซานตง ทางตะวันออกของจีน (Photo by AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพุธที่ 12 มีนาคม 2568 กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาประกาศบังคับใช้นโยบายขึ้นภาษีศุลกากร 25% ต่อการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมแล้ว ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าต่างๆ เพิ่มขึ้น ตั้งแต่เครื่องใช้ในบ้านไปจนถึงรถยนต์และกระป๋องใส่เครื่องดื่ม และอาจทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้นในอนาคต
คลาร์ก แพ็กการ์ด นักวิจัยจากสถาบันในอเมริกากล่าวกับเอเอฟพีว่า ต่อจากนี้กลุ่มผู้ใช้เหล็กรายใหญ่ที่สุดในประเทศในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์และการก่อสร้างซึ่งครอบคลุมทั้งอาคารที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์ จะได้รับผลกระทบอย่างหนักแน่นอน
ขณะที่คณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่าจะใช้มาตรการขึ้นภาษีหลายรายการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เพื่อตอบโต้การกีดกันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของสหรัฐฯ
เออร์ซูลา ฟอน เดอ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวในแถลงการณ์ว่า "เรารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อมาตรการนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังใช้มาตรการภาษีมูลค่า 28,000 ล้านดอลลาร์ในตลาดสากล เราจึงตอบโต้ด้วยมาตรการที่มีมูลค่าเทียบเท่ากันในสกุลเงินยูโร"
ตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่ง สหรัฐฯ ก็ได้ใช้มาตรการภาษีศุลกากรกับแคนาดา, เม็กซิโก และจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ โดยอนุญาตให้ลดภาษีบางส่วนสำหรับประเทศเพื่อนบ้านได้ พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะเก็บภาษีใหม่ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน
ทั้งนี้ มาตรการภาษีศุลกากรล่าสุดจะส่งผลกระทบต่อแคนาดาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากแคนาดาเป็นซัพพลายเออร์อะลูมิเนียมที่ครึ่งหนึ่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยคิดเป็น 20% ของสินค้าเหล็กที่สหรัฐนำเข้าทั้งหมด
นอกจากแคนาดาแล้ว บราซิลและเม็กซิโกยังเป็นซัพพลายเออร์เหล็กกล้ารายสำคัญของสหรัฐฯ อีกด้วย ในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์อะลูมิเนียมรายใหญ่
การเก็บภาษีที่เริ่มมีผลในวันที่ 11 มีนาคมจะทับซ้อนกับการเก็บภาษีก่อนหน้านี้ ซึ่งหมายความว่าผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียมของแคนาดาและเม็กซิโกบางส่วนอาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูงสุด 50% เว้นแต่จะมีการเจรจาลดสัดส่วนตามข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA)
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนการค้าของทรัมป์และความกังวลว่าแผนดังกล่าวอาจทำให้ประเทศขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ รวมทั้งทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วน โดยดัชนีวอลล์สตรีทร่วงลงเป็นวันที่สองติดต่อกันแล้วจากกรณีนี้
แต่ทรัมป์ไม่เห็นว่าเศรษฐกิจจะถดถอยแต่อย่างใด และปฏิเสธความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับวอลล์สตรีท
การตัดสินใจด้านการค้าของทรัมป์มาพร้อมกับความไม่แน่นอน โดยประธานาธิบดีขู่ว่าจะขึ้นอัตราภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของแคนาดาเป็นสองเท่า (50 เปอร์เซ็นต์) ซึ่งไม่รู้ว่าในทางปฎิบัติจะเป็นเท่าใดกันแน่
ก่อนหน้านี้รัฐออนแทรีโอของแคนาดาตัดสินใจเรียกเก็บภาษีไฟฟ้าจากสามรัฐในอเมริกาเพื่อเป็นการตอบโต้การจัดเก็บภาษีของสหรัฐฯ จึงนำไปสู่คำขู่ตอบโต้ด้านภาษีล่าสุดของทรัมป์
รัฐบาลวอชิงตันและออตตาวาแลกเปลี่ยนคำเตือนเรื่องภาษีศุลกากรกันตลอดทั้งวัน ขณะที่ความตึงเครียดด้านการค้าพุ่งสูงขึ้น และทรัมป์ก็เพิ่มความเข้มข้นให้กับแผนการอันยั่วยุที่จะผนวกเพื่อนบ้านทางเหนือของประเทศ
แต่รัฐออนแทรีโอได้หยุดการเรียกเก็บภาษีไฟฟ้าดังกล่าวไปแล้ว หลังการเจรจาระหว่างสองรัฐบาลสามารถหาข้อสรุปได้
ผู้ว่าการรัฐออนแทรีโอของแคนาดา, รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ และผู้แทนการค้าสหรัฐ เตรียมพบปะกันที่วอชิงตันในวันพฤหัสบดี เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดาฉบับใหม่ ก่อนถึงกำหนดเส้นตายภาษีศุลกากรตอบโต้ในวันที่ 2 เมษายน
การขึ้นภาษีศุลกากรเหล็กและอลูมิเนียมล่าสุดนี้เป็นแบบครอบคลุมและไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นการที่พันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น ออสเตรเลียและญี่ปุ่นที่พยายามต่อรองขอยกเว้น จึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องจำยอมไปโดยปริยาย
นายกรัฐมนตรีแอนโธนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลียกล่าวว่า การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ยืนยันว่าประเทศของเขาจะไม่ตอบโต้สหรัฐ
ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จะผ่อนปรนมาตรการภาษีให้กับบางประเทศและตัดข้อตกลงกับประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกับที่เคยทำในช่วงรัฐบาลชุดแรกหรือไม่
เมื่อมองไปข้างหน้า ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะจัดเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้โดยเร็วที่สุดในวันที่ 2 เมษายน เพื่อแก้ไขแนวทางการค้าที่รัฐบาลวอชิงตันเห็นว่าไม่ยุติธรรม โดยเพิ่มศักยภาพในการกำหนดเป้าหมายผลิตภัณฑ์และคู่ค้าเพิ่มเติมโดยเฉพาะ.