จีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 34% ตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในสงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน (Photo by Mandel NGAN and Pedro Pardo / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2568 กล่าวว่า พญามังกรขยับตัวโจมตีกลับพญาอินทรีในสงครามการค้าครั้งล่าสุดที่มีต้นเหตุจากนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
จีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา 34% เมื่อวันศุกร์ และเป็นประเทศยักษ์ใหญ่รายแรกที่ตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าชุดใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ประเทศและองค์กรหลายแห่งต่างพิจารณาทางเลือกของตนในการเจรจากับรัฐบาลของทรัมป์ ขณะที่สหภาพยุโรปก็เตรียมพร้อมสำหรับการเจรจากับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ โดยการตอบสนองที่อาจเกิดขึ้นน่าจะรวมถึงการขึ้นภาษีตอบโต้หรือมาตรการอื่นๆ ที่จะส่งผลให้สงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้นจนนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
หลังจากโดนกำหนดภาษีนำเข้า 34% จีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ เป็นกลุ่มแรกที่ประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 34% เช่นเดียวกัน และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนนี้ พร้อมยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) กรณีการกำหนดภาษีอย่างไม่เป็นธรรมของทรัมป์
จีนยังระบุด้วยว่าจะควบคุมการส่งออกธาตุหายากหลายชนิดที่ใช้ในเทคโนโลยีทางการแพทย์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
ตลาดหุ้นเอเชียและยุโรปร่วงลงต่อเนื่องหลังจากการประกาศของทรัมป์เมื่อวันพฤหัสบดี ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ของนิวยอร์กร่วงลง 4.8% ซึ่งถือเป็นการร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในปี 2020
ในยุโรป ดัชนีแฟรงก์เฟิร์ตร่วงลง 5% หลังเที่ยงวันของวันศุกร์ ขณะที่ดัชนีปารีสร่วงลงมากกว่า 4% และดัชนีลอนดอนร่วงลงเกือบ 3.8%
ดัชนีนิคเคอิของญี่ปุ่นปิดตลาดลดลง 2.8% โดยนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ กล่าวถึงภาษีของทรัมป์ว่าเป็น "วิกฤตระดับชาติ"
ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ 10% เป็นอย่างต่ำ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันเสาร์นี้ และจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายสิบประเทศในอัตราที่สูงขึ้นมาก โดยจะมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์หน้า
ยกเว้นจีน หลายประเทศออกมาประณามมาตรการภาษี แต่จนถึงขณะนี้ยังคงระงับมาตรการตอบโต้ โดยเลือกเสนอการเจรจากับสหรัฐฯ เช่น ผู้นำเวียดนามที่ต่อสายตรงหาทรัมป์และยอมลดภาษีฝั่งตนเหลือ 0% หรือผู้นำกัมพูชาที่ส่งหนังสือถึงทรัมป์เพื่อขอเจรจาและยอมลดภาษีฝั่งตนเหลือ 5%
มารอส เซฟโควิช หัวหน้าฝ่ายการค้าของสหภาพยุโรป มีกำหนดจะหารือกับคู่ค้าของสหรัฐฯ หลังจากที่ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป 27 ประเทศในอัตรา 20%
เซฟโควิชกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า สหภาพยุโรปจะดำเนินการอย่างใจเย็น, แบ่งเป็นขั้นตอนอย่างระมัดระวัง, เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และจะไม่นิ่งเฉยจนกว่าจะบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมได้
ฝรั่งเศสและเยอรมนีกล่าวว่าสหภาพยุโรปอาจตอบโต้ด้วยการจัดเก็บภาษีจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
เอริก ลอมบาร์ด รัฐมนตรีเศรษฐกิจเรียกร้องให้บริษัทฝรั่งเศสแสดงความรักชาติตามคำเตือนของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ที่ว่าหากบริษัทเหล่านั้นยังคงเดินหน้าลงทุนในสหรัฐฯ อาจเผชิญผลลัพธ์ที่เลวร้าย
ลอมบาร์ดกล่าวว่า การตอบสนองของสหภาพยุโรปไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการกำหนดภาษีศุลกากรแบบตอบโต้กัน และอาจใช้เครื่องมืออื่นๆ เช่น การแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
"การตอบโต้อาจรุนแรงมาก แต่เราไม่ควรตอบโต้ด้วยอาวุธแบบเดียวกับที่สหรัฐฯ ใช้ เพราะหากเราทำเช่นนั้น อาจส่งผลลบต่อยุโรปได้เช่นกัน" เขากล่าวกับสื่อ
ที่กรุงโตเกียว ผู้นำญี่ปุ่นเรียกร้องให้มีการเจรจากับทรัมป์ด้วยความรอบคอบ หลังจากสินค้าญี่ปุ่นโดนจัดเก็บภาษี 24%
สื่อท้องถิ่นรายงานว่าเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามจัดการประชุมทางโทรศัพท์ระหว่างอิชิบะและทรัมป์ และคาดว่าจะจบลงด้วยดีได้ในแบบเดียวกับการเจรจาอย่างเป็นมิตรที่ทำเนียบขาวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทต่างๆ ต้องดิ้นรนปรับตัวอย่างหนักให้เข้ากับคำสั่งการค้าใหม่ของทรัมป์ที่นอกจากจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปแล้ว ยังมีอีกมาตราการที่ประกาศไปก่อนหน้าแล้วคือภาษีศุลกากรแยกต่างหาก 25% สำหรับรถยนต์ที่ผลิตในต่างประเทศซึ่งทั้งหมดก็มีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้เช่นกัน และแคนาดาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการจัดเก็บภาษีแบบเดียวกันจากการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา
บริษัท Stellantis ซึ่งเป็นเจ้าของ Jeep, Chrysler และ Fiat ได้หยุดการผลิตที่โรงงานประกอบบางแห่งในแคนาดาและเม็กซิโก
ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น Nissan กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่าจะแก้ไขแผนการลดการผลิตในสหรัฐฯ
บริษัทฯยังกล่าวอีกว่าจะหยุดจำหน่ายรถยนต์สองรุ่นในตลาดสหรัฐฯ ที่ผลิตในโรงงานแห่งหนึ่งในเม็กซิโก
บริษัท Volvo Cars ของสวีเดน ซึ่งเป็นเจ้าของโดย Geely ของจีน กล่าวว่าจะเพิ่มปริมาณการผลิตยานยนต์ในสหรัฐฯ และอาจผลิตรุ่นเพิ่มเติมอีกรุ่นหนึ่งที่นั่น
ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า เขาต้องการให้สหรัฐฯ เป็นอิสระจากการพึ่งพาผู้ผลิตต่างชาติ และมาตรการที่บังคับใช้จะช่วยปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เปรียบเสมือนขั้นตอนทางการแพทย์
ท่ามกลางเสียงประท้วงจากต่างประเทศ และแม้กระทั่งจากสมาชิกพรรครีพับลิกันของทรัมป์ที่กลัวว่าราคาสินค้าในประเทศจะพุ่งสูงขึ้น แต่โฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดทน
"ปล่อยให้โดนัลด์ ทรัมป์บริหารเศรษฐกิจโลก เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่" ลุตนิคกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น
มิตช์ แมคคอนเนลล์ วุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันแสดงความไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ โดยโจมตีมาตรการภาษีศุลกากรว่าเป็นนโยบายที่แย่
"การรักษาความมั่งคั่งในระยะยาวต้องทำงานร่วมกับพันธมิตร ไม่ใช่ต่อต้านพวกเขา" แมคคอนเนลล์กล่าว
ขณะที่องค์การการค้าโลก (WTO) เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้อาจส่งผลให้ปริมาณการค้าสินค้าทั่วโลกหดตัวเหลือเพียง 1% ในปีนี้.