
สมเด็จพระราชาธิบดีฮัสซันที่ 2 ผู้ริเริ่มแนวคิด Green March
สถานเอกอัครราชทูตราขอาณาจักรโมร็อกโกประจำประเทศไทย เผยแพร่บทความเนื่องในโอกาสเป็นปีพิเศษที่ประเทศโมร็อกโกระลึกถึงการครบรอบ 50 ปีของวัน Green March ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่จะทำให้หวนนึกถึงสัญลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, ความมุ่งมั่น และความรักชาติอย่างลึกซึ้งของประชาชนชาวโมร็อกโก ในปีนี้ยิ่งมีความพิเศษเนื่องจากผลพวงของเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการยอมรับในระดับนานาชาติ หลังจากที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้รับรองมติ 2797 เรื่องแผนการปกครองตนเอง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.2025 ว่าแผนการนี้มีความน่าเชื่อถือ, สมารถเกิดขึ้นได้จริง และถือเป็นกรอบที่จะสามารถยุติปัญหาความขัดแย้งเรื่องพื้นที่โมร็อกโกซาฮาราที่มีมายาวนาน
สมเด็จพระราขาธิบดีโมฮัมเหม็ดที่ 6 แห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกกล่าวในบางช่วงบางตอนของสุนทรพจน์ว่า “การรับรองนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์โมร็อกโกในยุคสมัยใหม่” “หลังจากที่ความขัดแย้งนี้ถูกแต่งขึ้นมากว่า 50 ปี ขณะนี้ยุคใหม่ได้เกิดขึ้น เป็นยุคของความเป็นเอกภาพ, ความชอบธรรม และการดำรงไว้ซึ่งสันติภาพที่ยาวนาน” พระองค์ท่านยังกล่าวเสริมอีกด้วยว่า “จากเมือง Tangier ถึงเมือง Lagouira ต่างยืนหยัดที่จะปกป้องอธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ” เพื่อเป็นการตระหนักให้รับรู้ถึงช่วงเวลาที่เป็นประวัติศาสตร์นี้ สมเด็จพระราชาธิบดีทรงประกาศให้เพิ่มวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันหยุดราชการ โดยเรียกว่า “วันแห่งเอกภาพ” (Unity Day)
สำนักพระราชวังกล่าวว่า วันนี้จะเป็นวันที่ระลึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าที่เกี่ยวกับประเทศที่เป็นที่น่าเคารพ และสิทธิอันชอบธรรม วันนี้จะยังเป็นวันที่พระองค์ท่านพระราชทานอภัยโทษ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีและความเป็นเอกภาพ การรับรองมติ 2797 ยังถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางการทูต และแสดงให้เห็นว่าโมร็อกโกมีแนวทางที่สร้างสรรค์และมองไปข้างหน้า ในเรื่องสันติภาพและความร่วมมือระดับภูมิภาค จากการที่เหตุการณ์การรับรองมติที่สหประชาชาติและการครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์ Green March ยิ่งทำให้วันนี้มีความพิเศษยิ่งในประวัติศาสตร์ เป็นการยืนยันถึงสปิริตของการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ซึ่งโมร็อกโกดำเนินมากว่าครึ่งศตวรรษ

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่สำคัญของประเทศนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ.1975 เมื่อครั้งสมเด็จพระราชาธิบดีฮัสซันที่ 2 ได้เรียกร้องให้อาสาสมัครประชาชนชาวโมร็อกโก จำนวน 350,000 คน ร่วมกันเดินขบวนโดยสันติมุ่งหน้าไปยังบริเวณซาฮารา ซึ่งสมัยนั้นยังอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน โดยพวกเขาเหล่านั้นถือธงชาติ, คัมภีร์อัลกุรอ่าน และมาด้วยความศรัทธา การเดินขบวนนี้ยืนยันถึงอำนาจอันชอบธรรมของโมร็อกโกและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับของประชาชนชาวโมร็อกโก การเดินขบวนโดยสันติวิธีนี้ มิใช่เพียงเพื่อเรียกร้องดินแดนกลับคืนมา แต่ยังแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และประชาชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่แสดงถึงความเป็นอัตลักษณ์ของชาติโมร็อกโก เป็นเวลาหลายทศวรรษที่เหตุการณ์ Green March เป็นมากกว่าเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่เปรียบเสมือนพินัยกรรมที่ยังมีชีวิตอยู่ที่แสดงให้เห็นถึงความยึดมั่นของโมร็อกโกในเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, สันติภาพ และการพัฒนาภายใต้พระวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก
จังหวัดทางตอนใต้ของโมร็อกโกมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ปัจจุบันภูมิภาคนี้กลายเป็นตัวอย่างของความมีเสถียรภาพ, การมีสาธารณูปโภคที่ทันสมัย และมีการเจริญเติบโตแบบยั่งยืน มีโครงการเกิดขึ้นมากมาย อาทิเช่น ท่าเรือดัคลาแอตแลนติค (Dakhla Atlantic Port), ท่อส่งแก๊สไนจีเรีย-โมร็อกโก (Nigeria-Morocco Gas Pipeline) และถนนสายใหม่, สนามบิน, เครือข่ายพลังานทดแทน กำลังมีบทบาททางเศรษฐกิจ พระวิสัยทัศน์เหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องจากพระองค์ท่านวางแผนให้บริเวณโมร็อกโกซาฮารา เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมแอฟริกา, ฝั่งแอตแลนติค และโลกภายนอกเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งพระวิสัยทัศน์นี้จะเห็นได้จากความคิดริเริ่มที่เรียกว่า The Royal Atlantic African Initiative ที่มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างเสริมความเจริญรุ่งเรืองและการมีความร่วมมือแบบใต้-ใต้ (South-South cooperation)
การฉลองครบรอบ 50 ปีของวัน Green March นี้ ยังแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนจากนานาชาติที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และความสำเร็จทางการทูต แผนการปกครองตนเอง ที่โมร็อกโกนำเสนอในปี ค.ศ.2007 ได้รับการรับรองซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ประเทศสมาชิกสหประชาชาติกว่า 123 ประเทศ กล่าวคือ สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, สเปน, เยอรมัน, สหราชอาณาจักร และประเทศในยุโรปหลายประเทศ ต่างให้การสนับสนุนแผนการนี้ว่ามีความน่าเชื่อถือและเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ในส่วนของประเทศในทวีปเอเชียและโอเชียเนีย เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, บรูไน, คาซัคสถาน, ปาปัวนิวกินี, ปาเลา, ไมโครนีเซีย, สิงคโปร์ และกัมพูชา ต่างก็ให้การสนับสนุนแผนการนี้
ตั้งแต่ปี ค.ศ.2019 มากกว่า 30 ประเทศในทวีปแอฟริกา, เอเชีย และอเมริกาเปิดสถานกงสุลใหญ่ที่เมืองลายูน (Laayoune) และดัคลา (Dakhla) ต่างให้การยอมรับในอำนาจอธิปไตยของโมร็อกโก และมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับราชอาณาจักร กว่าครึ่งศตวรรษหลังจากเกิดเหตุการณ์ Green March โมร็อกโกยังคงเดินหน้าด้วนสปิริตเดิมของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1975 การเดินขบวนโดยสันติวิธีนี้เป็นเหมือนไฟนำทางให้ประเทศชาติ จากการเรียกร้องเพื่ออิสรภาพ มาเป็นวิสัยทัศน์ที่มุ่งหมายเพื่อความเจริญก้าวหน้า, ความมีเสถียรภาพ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เขมรยังลอบกัด! ทหารไทยเหยียบกับระเบิด ขาขาดรายที่ 7
กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี เกิดเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง
ระวังขัดรธน.! ปฏิบัติตาม 'ถ้อยแถลง' เหตุเขมรยังเป็นภัยมั่นคงของไทย
รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ "คนไทย Shock…อนุทิน!" โดยระบุว่า 27 ตุลาคม 2568 วันแห่งความอัปยศของคนไทย
‘อนุทิน’บินด่วน ลงนามมาเลย์ สันติภาพเขมร
นายกฯ บินไปมาเลเซีย ลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา ย้ำเพื่อความปลอดภัย รักษาอธิปไตย หลังสหรัฐตอบรับเงื่อนเวลา ส่วนประชุมเอเปกที่เกาหลีใต้รอดูสถานการณ์ก่อน
นายกฯ ยันบินไปมาเลเซีย ลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา พรุ่งนี้
ายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ว่า
พลิ้ว! 'ฮุน มาเนต' ปัดไม่เคยตกลงหยุดยิง-สัญญาสันติภาพ ที่ทำให้เสียดินแดนกัมพูชา
นายกฯกัมพูชา โพสต์ยันไม่ได้ตกลงในข้อตกลงใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงข้อตกลงหยุดยิง และข้อตกลงสันติภาพ ที่จะส่งผลให้กัมพูชาสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนตามกฎหมาย
'อิชิอิ'เรียก'สันติภาพ-ทรงวุฒิ' เข้ามาแทน'เจริญศักดิ์-โจนาธาร' ที่มีอาการบาดเจ็บ
“มาซาทาดะ อิชิอิ” หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลชายทีมชาติไทย เรียกตัว “สันติภาพ จันทร์หง่อม” แบ็คขวาจากสโมสร ชลบุรี เอฟซี และ “ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ” กองหลังจากสโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด เข้ามาแทนที่ “เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์” และ “โจนาธาร เข็มดี” ที่มีอาการบาดเจ็บ


