'วิรัช' เผย 6 รมต.พบ 'บิ๊กตู่' ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ ต้องเข้าแจงในที่ประชุมพรรคให้ชัดเจน

"วิรัช" ดักคอ "สุชาติ" นั่งเลขาฯพปชร. ชี้ 6 รมต. พบ "บิ๊กตู่" ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ ควรจะเข้ามาชี้แจงภายในพรรคให้ชัดเจน ยันไม่คิดย้ายไปเพื่อไทย ฝากบอกถึงคนเต้าข่าว อยู่ตรงนี้ดีที่สุดแล้ว

26 ต.ค.2564 - ที่รัฐสภา นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกระแสข่าวกดดันให้กรรมการบริหารพลังประชารัฐลาออกจากตำแหน่ง ว่า ตั้งแต่เห็นข่าวในสื่อมวลชนจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการสั่งการใดจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค จึงยังไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไร และคิดว่าคงไม่ถึงขั้นเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคเป็นนายสุชาติ ชมกลิ่น ตามที่มีกระแสข่าว

เมื่อถามว่ากรณีนี้เกิดจากการทำโพลสำรวจความเห็นประชาชนต่อ ส.ส.ของพรรคหรือไม่ นายวิรัช กล่าวว่า วันนี้ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่ง คือ พรรคพลังประชารัฐเกิดจากการหล่อหลอมของสมาชิกที่มาจากหลายส่วน บางครั้งการจะรวมกันได้ก็ต้องผ่านการเลือกตั้งกันมา และเชื่อว่าเมื่อผ่านไปหลายครั้งก็จะดีขึ้น ดังนั้น วันนี้คงไม่สามารถพูดอะไรไปได้มากกว่านี้ ถ้าตรงนี้แก้ไขแล้วเดินได้ดีก็ควรแก้ไข แต่ถ้าแก้ไขแล้วเกิดความวุ่นวายก็ไม่ควรแก้ไข และเหตุการณ์นี้ไม่ทราบว่าเป็นความพยายามของรัฐมนตรี 6 คนที่เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือไม่ ทั้งนี้ขอรอดูสถานการณ์ก่อน หากมีเหตุการณ์อะไร หรือได้รับคำสั่งจากหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคตนไม่หนี และจะมาให้สัมภาษณ์ และระบุว่า 6 รัฐมนตรีที่ไปพบนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้เป็นเสียงส่วนมากของพรรค

เมื่อถามว่าระยะเวลา 3-4 เดือนของการดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค มีความเหมาะสมในการปรับเปลี่ยนหรือยัง นายวิรัช ตอบว่า อันนี้ตอบไม่ได้อยู่ที่ความจำเป็นในแต่ละห้วงเวลา อยู่ที่ความเหมาะสม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรค

ถามย้ำถึงกระแสข่าวการเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค นายวิรัช ย้ำว่าไม่ทราบ ต้องไปสอบถามแหล่งข่าวที่บอกมาว่าจะเปลี่ยนเป็นใคร เปลี่ยนเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ นายวิรัช กล่าวถึงเสถียรภาพของพรรคพลังประชารัฐ ว่า ขณะนี้ใกล้เปิดประชุมสมัยสามัญแล้ว อะไรที่เป็นความขัดแย้งหากงดได้ก็ดี แต่หากงดไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนกระแสข่าวที่ว่าตนจะย้ายไปพรรคเพื่อไทยในสมัยหน้านั้น ขอฝากไปถึงคนที่เต้าข่าวว่าตนอยู่ตรงนี่ดีที่สุดแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้มีความคิดจะย้ายไปพรรคเพื่อไทยเลย

นายวิรัช ยังกล่าวถึงการประชุมพรรคพลังประชารัฐว่า เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้ก็คิดว่าควรจะต้องมีการนัดประชุมพรรคสักครั้งในห้วงสัปดาห์นี้ และหากมีการประชุมพรรค 6 รัฐมนตรีที่เข้าพบนายกรัฐมนตรีก็ควรจะต้องเข้ามาชี้แจงเพื่อให้เกิดความขัดเจน

เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคพลังประชารัฐเหมือนแตกออกเป็นสองฝ่าย นายวิรัช บอกว่า อันนี้ไม่ตอบ อาจจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่แยกหลายส่วน อย่างไรก็ตาม เสียงของกรรมการบริหารพรรคไม่ลาออกมากกว่าเสียงที่จะลาออกหรือไม่นั้น ไม่สามารถพูดได้ เพราะหากพูดไปผิดก็จะมาต่อว่าตนอีก

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ก้าวไกลโหมหนัก การเมืองบทใหม่ ฉันทามติระหว่างชนชั้นนำ กับปชช.

ก้าวไกลประกาศเป็นสะพานเชื่อมแห่งยุคสมัย “ชัยธวัช’ ยก ปรากฏการณ์ ‘เลือกตั้ง 66’ เป็นข้อบ่งชี้ ไทยกำลังเดินเข้าสู่บทที่สิ่งเก่ากำลังจะตาย-สิ่งใหม่กำลังจะเกิด

ลูกชายเอนก โบกมือลาพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอกลับมาเป็นพลเมืองไทยไร้ฝักฝ่ายเต็มขั้น

ความเคลื่อนไหวพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) วันเดียวกันนี้ นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ได้ยื่นลาออกจากสมาชิกพรรค รทสช. โดย นายเขตรัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “กราบผู้ใหญ่ที่เคารพและสวัสดีเพื่อนมิตรที่รัก

ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 23: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475)

ผู้เขียนขอหยิบยกรายงานจากสถานทูตอื่นๆที่มีต่อเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อจากตอนที่แล้ว โดยผู้เขียนได้คัดลอกมาจากหนังสือ

ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 10)

รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490

“อนุทิน” เซ็นประกาศคืนชายหาดเลพัง ปิดตำนานกว่า20ปี หลังกรมที่ดินต่อสู้ยืดเยื้อกับผู้บุกรุก พร้อมคืนพื้นที่สาธารณะให้ชาวภูเก็ต

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่บริเวณชายหาดเลพัง ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เปิดกิจกรรม “มหาดไทย มอบความสุข คืนชายหาดเลพัง ให้ชาวภูเก็ต”

ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 22: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475)

(ต่อจากตอนที่แล้ว) ในรายงานวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) ของพันโท อองรี รูซ์ ผู้ช่วยทูตทหารบกและทหารเรือประจำสยาม ประจำสถานอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยาม มีความว่า