ปรีดา เตียสุวรรณ์ ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก กับการเลือกตั้งที่อยากเห็น

ขณะนี้ที่อยู่ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง หลายพรรคการเมืองนำเสนอนโยบายทั้งด้านการเมือง-สังคม-เศรษฐกิจกันอย่างหลากหลายเพื่อหาเสียงกับประชาชน แต่พบว่า ไม่มีพรรคการเมืองใดพูดถึงเรื่องนโยบาย"การเมือง-เศรษฐกิจระหว่างประเทศ"ซึ่งว่าไปแล้วเรื่องดังกล่าว ในการเลือกตั้งทุกครั้ง ก็แทบไม่มีพรรคการเมืองใดนำเสนอนโยบายเรื่องนี้มากนัก ที่อาจเพราะมองว่าเป็นเรื่องที่นำไปหาเสียงสร้างคะแนนนิยมได้ยาก ทั้งที่โลกยุคปัจจุบัน "ภูมิรัฐศาสตร์การเมือง-เศรษฐกิจโลก"เปลี่ยนไปจากเดิมมาก และมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นักการเมืองไทย-พรรคการเมืองไทย กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญ

          เรื่องดังกล่าว มีทัศนะ-มุมมองความเห็นจากภาคธุรกิจ ซึ่งติดตามและให้ความสำคัญกับเรื่องภูมิศาสตร์การเมือง-เศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ "ปรีดา เตียสุวรรณ์ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้นำวงการธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ - ที่หลายคนรู้จักชื่อเสียงเป็นอย่างดีในฐานะนักธุรกิจเพื่อสังคม-นักธุรกิจภาคประชาสังคมชื่อดัง"ที่ทำธุรกิจส่งออกอัญมณี-เครื่องประดับไปยังหลายประเทศ ที่มีมุมมองที่น่าสนใจในเรื่องนี้โดยได้แสดงความเห็นถึงเรื่องการรักษาดุลยภาพของประเทศไทยกับเวทีการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะการรักษาสมดุลกับประเทศมหาอำนาจของโลก ของสองขั้วการเมืองโลกคือ สหรัฐอเมริกากับจีน

          "ปรีดา"เริ่มต้นกล่าวถึงเรื่องนี้ ด้วยการปูพื้นให้เห็นถึงภูมิรัฐศาสตร์การเมือง-เศรษฐกิจโลก ซึ่งระหว่างให้สัมภาษณ์ได้มีการนำแผนที่โลก มาอธิบายประกอบให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเริ่มกล่าวว่า หากดูจากภูมิรัฐศาสตร์การเมืองโลก จะพบว่า รัสเซียเป็นประเทศมีบทบาทสำคัญมากในทวีปยุโรปมายาวนานตั้งแต่อดีต เช่นก่อนหน้านี้ เป็นหัวหอกรวบรวมชาติยุโรปตะวันออก เช่นโปแลนด์ เชโกสโลวาเกีย ที่มีประมาณสิบประเทศ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโซเวียตที่เรียกว่า สหภาพโซเวียต รวมถึงเยอรมันตะวันออกในอดีต ก่อนจะมาเป็นเยอรมนีในปัจจุบัน ซึ่งการที่สหภาพโซเวียตมีบทบาทมากขนาดนั้นเพราะมีกำลังทหารจำนวนมาก อย่างประชากรของรัสเซียก็มีร่วม 150 ล้านคน ที่ถือว่าเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ความเป็นพี่เบิ้มของรัสเซีย จึงเห็นชัดว่าโดดเด่นฉายแสงมานานแล้ว โดยเมื่อสงครามเลิกในปี ค.ศ. 1945 พอช่วงปี ค.ศ.1960 รัสเซียก็สร้างสหภาพโซเวียตขึ้นมา

          ต่อมาประเทศตะวันตกทั้งหลายที่เป็นประเทศที่ใช้รูปแบบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย ก็เริ่มคิดที่จะต่อสูัเพื่อคานอำนาจกับสหภาพโซเวียต ก็ต่อสู้กันตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1950-1990 ที่เรียกกันว่า"สงครามเย็น"โดยบางฝ่ายก็บอกว่าชัยชนะเป็นของค่ายเสรีประชาธิปไตย โดยช่วงสงครามเย็นดังกล่าว พบว่าบทบาทการวางตัวของประเทศไทย จะพยายามไม่ให้กระทบกับรัสเซีย แต่ขณะเดียวกัน ก็เทน้ำหนักไปทางข้างฝ่ายเสรีประชาธิปไตยของค่ายตะวันตกมากกว่า ที่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเพราะว่า การแผ่ขยายการครอบคลุมได้แผ่เข้าไปที่ประเทศจีน ซึ่งจีนก็พร้อมจะเป็นประเทศสังคมนิยมอยู่แล้ว ถึงแม้จีนพื้นที่อาณาเขตจะอยู่ห่างจากกรุงมอสโก แต่หากดูจากแผนที่โลกจะพบว่ารัสเซียเป็นประเทศ ซึ่งมีเนื้อที่อยู่ในอาณาเขตต่างๆ ใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่ของรัสเซีย ยาวไปถึงตะวันออกของแผนที่โลก ไปถึงติดกับมองโกเลีย โดยพบว่า 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ของทรัพยากรของโลก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน เพชร ทอง ก๊าซ แร่เหล็ก  และหลายอย่างที่ต้องขุดต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ในพื้นที่ของรัสเซีย

          ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว  ทำให้รัสเซีย คือประเทศที่ร่ำรวยด้านทรัพยากรมากที่สุดในโลก ด้วยเหตุนี้จีน จึงต้องมีรัสเซียไว้เป็นฐานของทรัพยากร และปัจจุบัน แม้ว่าจีนจะเป็นพี่เบิ้มใหญ่กว่ารัสเซีย มีประชากรมากกว่า คือจีนมีประมาณ 1,400 ล้านคน ขณะที่ฝ่ายรัสเซียมีประชากร ประมาณ 140 ล้าน แต่รัสเซียมีพื้นที่และมีทรัพยากรที่สำคัญมากกว่าจีน

          และที่สำคัญ รัสเซียมีอาวุธหัวรบนิวเคลียร์ ถึง 6,260 ลูก จากที่ในปัจจุบัน หัวรบนิวเคลียร์ที่อยู่ในการครอบครองของประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลก ที่มีด้วยกัน 9 ประเทศ พบว่ารวมกันแล้วมีประมาณ 13,130 ลูก เท่ากับว่ารัสเซียมี จำนวนหัวรบนิวเคลียร์เกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่ประเทศต่างๆ ครอบครองอยู่ทั่วโลก

          (ปัจจุบันมี 9 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส อินเดีย อิสราเอล เกาหลีเหนือ ปากีสถาน รัสเซีย สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร)

          "ปรีดา-นักธุรกิจเพื่อสังคม"กล่าวย้ำว่า ในแง่ภูมิรัฐศาสตร์การเมืองโลกเวลานี้ หากดูจากประเทศในค่ายสังคมนิยม รัสเซียคือฐานทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ เพราะจีนยังเป็นรองมากในเรื่องยุทโธปกรณ์ อย่างจีนแม้จะมีเรือบรรทุกอากาศยาน-เรือดำน้ำปรมาณู แต่ก็มีน้อยกว่าสหรัฐฯ  แต่รัสเซียจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ อยู่เยอะเช่น เรือบรรทุกเครื่องบิน  เรือดำน้ำปรมาณู เป็นต้น

          ตอนนี้จีนเป็นพี่เบิ้มในด้านกองกำลังทหาร แต่ทางด้าน อาวุธยุทโธปกรณ์ ทางรัสเซียสนับสนุนอยู่ โดยเฉพาะหัวรบนิวเคลียร์ ซึ่งรัสเซียเคยขู่แล้วตอนเริ่มต้นสงครามรัสเซีย-ยูเครนใหม่ๆ ว่าหากมีปัญหาอะไรขึ้นมา เขาก็จะใช้ เรื่องนี้เป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ชาติตะวันตก คิดแล้วคิดอีก ว่าหากไปกดดันรัสเซียมาก อาจทำให้รัสเซียเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมา เพราะอย่าลืมว่ารัสเซียมีประชากรแค่ 140 ล้านคนแต่เขาเตรียมพร้อมอะไรต่างๆ ไว้เช่นหลุมหลบภัยหากเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นมา  ที่เขาทำได้สบายเพราะรัสเซีย มีพื้นที่มหาศาล และการที่รัสเซียมีทรัพยากรต่างๆ จำนวนมากคิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ของโลก ทำให้หากเกิดสงครามอะไรขึ้นมา รัสเซียอยู่ได้นาน ประชาชนมีอาหารอยู่กินกันได้หลายปีกว่าที่รังสีปรมาณูจะหายไป ซึ่งก็ไม่มีใครจะรู้ได้

          ที่ผมพูดไปก็เป็นการคาดการณ์ แต่ผมพูดไปตามภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศที่เห็นกันอยู่ และความจริงที่แน่นอนก็คือ รัสเซียครอบครองหัวรบนิวเคลียร์เกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่มีอยู่ในโลกเวลานี้

          นอกจากนี้ หากดูจากประชากรโลกประมาณแปดพันกว่าล้านคน  พบว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ในทวีปเอเชีย  โดยแค่ที่จีน ก็ร่วมหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน ส่วนอินเดียก็ใกล้เคียงกัน แค่สองประเทศ ก็ร่วมสองพันแปดร้อยล้านคนแล้ว ปากีสถานก็ร่วมสองร้อยกว่าล้านคน เป็นต้น รวมๆ แล้วในเอเชียมีประชากรร่วมสี่พันกว่าล้านคน ก็คือมีประชากรเกือบครึ่งโลกจากทั้งหมดแปดพันกว่าล้านคน

          "ปรีดา"ขมวดปมถึงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์การเมือง-เศรษฐกิจโลกในยุคสมัยปัจจุบันว่า เมื่อเป็นไปตามที่กล่าวข้างต้น  พูดง่าย ๆก็คือว่ายุทธศาสตร์ที่ยุโรปมันจบแล้ว พวกค่ายตะวันตกทั้งหลายก็จะไปเข้าข้างสหรัฐฯ เพราะระบบสังคม-การปกครองเหมือนกัน มีส่วนได้ส่วนเสียเหมือนกัน เพราะฉะนั้นในอนาคต สิ่งที่ตะวันตกจะต้องเล่นต่อไปก็คือ เขาจะต้องมาหาพวกในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะอย่างบางประเทศในเอเชียอย่างเช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น  ชัดเจนว่าอยู่ฝั่งสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับบางประเทศในอาเซียนเช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย พื้นที่บริเวณด้ามขวานทองของเราทั้ง ไทย เมียนมา มาเลเซีย  จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจตลอดเวลา 

          โลกตอนนี้ที่แบ่งกันสองซีกคือฝ่ายสหรัฐฯกับจีน  ในแง่เศรษฐกิจการค้าจะพบว่าสินค้าต่างๆ มีการผลิตในจีนจำนวนมาก แต่พื้นที่การผลิตโดยเฉพาะด้านการเกษตรที่อยู่ในพื้นที่สีเขียว ก็ยังมีพื้นที่ผลิตเพียงแค่สามสิบกว่าเปอร์เซนต์ แต่หกสิบกว่าเปอร์เซนต์ที่เป็นพื้นที่สีขาว ทำอะไรไม่ได้ แต่จีนที่มีประชากรร่วมหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน จึงทำให้อย่างเวลาเราไปที่จีน จะไม่ค่อยเห็นบ้านเดี่ยว เพราะเขาไม่มีที่พอจะสร้างบ้านเดี่ยว ก็อยู่กันในตึกสูงระฟ้า

          อย่างไรก็ตาม ในทางภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจและการเมืองโลก จีนคือมหาอำนาจของโลก เหมือนเป็นอาณาจักรกลาง หมายถึงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะอย่างเรื่องประชากร จีนมีประชากรมากที่สุดในโลก ที่ดินก็มีเยอะแยะ แม้อาจไม่เท่ารัสเซีย เมื่อมีประชากรมากที่สุดในโลก ก็ถือเป็นกองกำลังใหญ่แต่มีพื้นที่มาก  จึงไม่ต้องไปขยายดินแดน ไม่ต้องไปรุกรานคนอื่น ในตะวันออก มียักษ์ใหญ่ที่หลับอยู่ อย่าไปปลุกเขา เขาคือจีน และเมื่อจีนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว เขาจะไม่มีวันที่จะยอมเป็นม้ารองบ่อนใคร

..... เพราะฉะนั้นการต่อสู้กันระหว่างสองค่าย(เสรีประชาธิปไตยกับสังคมนิยม)  จะเป็นเรื่องยาว เพราะจีนจะไม่ยอม ไม่เหมือนรัสเซีย คือรัสเซียไม่ใช่มหาอำนาจที่แท้จริง เพราะมีแค่ที่ดิน แต่กองกำลัง-คนของเขา  มีแค่ 140 ล้าน จากจำนวนประชากรและประชากรก็ค่อยๆลดลงด้วย  แต่ที่ถูกมองว่าเป็นมหาอำนาจก็เพราะจากที่ในโลกนี้มีเก้าประเทศที่มีนิวเคลียร์ พบว่า รัสเซียครอบครองอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก

ไทยต้องรักษาดุลยภาพ

ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

          -มองว่าบทบาท และการรักษาสถานะทางการเมืองระหว่างประเทศ ระหว่างไทยกับจีน ควรเป็นอย่างไร?

          เราต้องยอมรับว่ายังไงก็ตาม ประเทศจีน ย่อมมีน้ำหนักสูง มีมากกว่าบางประเทศที่ถูกมองว่าเป็นมหาอำนาจในอีกค่ายหนึ่ง

 อย่างที่ผมมองการเลือกตั้งการหาเสียงที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ผมมองว่ายังคงหาเสียงกันแบบเดิม ทั้งที่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว อย่างจีนกับไทย แผ่นดินก็ใกล้ชิดกันมากกว่าพวกประเทศตะวันตก ดูจากแผนที่โลกได้ แล้วแบบนี้ ถามว่าอะไรสำคัญกว่า ยังไงก็ตาม ธุรกิจ-เศรษฐกิจของประเทศไทย ก็ต้องพึ่งจีน เลี่ยงไม่ได้

 ปัจจุบันนี้ ประเทศจีนน่าจะเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยที่อาเซียนน่าจะเป็นอันดับ 2 ส่วนสหรัฐฯเป็นอันดับ 3 แต่หากหันกลับไปมองเมื่อยี่สิบปีก่อน อันดับหนึ่งคือสหรัฐอเมริกา แต่จะเห็นได้ว่าหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศคู่ค้าอันดับสามของไทย

 โดยหากดูจากจำนวนประชากร สหรัฐฯมีอยู่สองร้อยกว่าล้านคน แต่จีนมีหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน อัตราการบริโภคสหรัฐฯ ก็น้อยกว่าจีนเยอะอยู่แล้ว และ ลองนึกภาพดู ที่มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวในไทยปีละ 10-11 ล้านคน คิดเป็นร่วมๆ 25 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย และเป็นเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จีดีพีของประเทศไทย หากเรามีข้อพิพาทอะไรกับเขา แล้วบอกว่าไม่ให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในไทย ผลจะเป็นอย่างไร

“หน้าที่ของเราก็คือ ต้องเอากลุ่มของสหรัฐฯเข้ามาถ่วงดุล เพราะก็ไม่มีใครที่จะมีอำนาจมาถ่วงดุลจีนได้ นอกจากสหรัฐฯและประเทศที่รวมตัวอยู่ฝ่ายเดียวกันกับสหรัฐฯ เราจึงควรต้องดีกับทั้งสองฝ่าย ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา ต้องเล่นบทให้เป็น"

          .... หากเราไปผูกสัมพันธ์กับจีนมากเท่าไหร่ สหรัฐฯก็ยิ่งไม่แฮปปี้มากเท่านั้น เพราะสหรัฐในฐานะที่เป็นประเทศเสรีประชาธิปไตย ที่ประชาชนเขาเป็นใหญ่ ที่มีการเลือกตั้งทุกสี่ปี ประชาชนสหรัฐฯ เขาถูกฝังหัวมาว่าสหรัฐคือผู้ยิ่งใหญ่ ต้องข่มจีนให้ได้ ต้องไม่ให้จีนใหญ่กว่าสหรัฐ ซึ่งใหญ่ในที่นี้คือเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ที่เข้ามาบริหารประเทศทุกคน จะมีเป้าหมายสำคัญคือจะไม่ยอมให้จีน เป็นประเทศที่ใหญ่กว่าสหรัฐฯทางด้านเศรษฐกิจไม่ได้ในระหว่างที่แต่ละคนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะไม่เช่นนั้น จะเสียคะแนนนิยมมหาศาล เช่นหากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มาจากพรรคริพับลิกัน แล้วช่วงนั้น จีนมีเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าสหรัฐฯในช่วงที่คนของพรรคริพับลิกันเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนอเมริกาจะไม่พอใจ ทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไป ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตจะชนะการเลือกตั้งแน่นอน

          เรื่องภูมิรัฐศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจโลก สุดท้าย ยังไง ก็จะต้องเกี่ยวข้องกับประเทศไทย โดยปัจจุบัน ขอย้ำว่า ภูมิรัฐศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว กรณีรัสเซียกับยูเครน มันเป็นสัญญาณชัดเจนว่าจีนต้องการแบบนี้ ต้องการที่จะแยกประเทศที่อยู่ฝ่ายเขา เช่นเดียวกับ สหรัฐฯ ก็ต้องให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไหนอยู่ฝ่ายเดียวกับสหรัฐฯ เพราะฉะนั้น หากคุณชัดเจนจนถูกมองว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การค้าของคุณ ที่จะไปอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะลำบากทันที  

          อย่างไรก็ตาม การพึ่งจีน ก็ต้องพึ่งอย่างระวัง เพราะประเทศจีน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม ไม่ใช่เสรีประชาธิปไตย สมมุตินักท่องเที่ยวจากจีนที่เข้ามาปีละสิบล้านคน แต่หากจะให้เพิ่มมาเป็นยี่สิบล้านคน แต่ต้องไม่ลืมว่าหลังเกิดโควิดระบาด จนทำให้มีการล็อกดาวน์ การท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบทันที นักท่องเที่ยวจากจีนหากไปทันทีสิบล้านคนในช่วงที่ผ่านมา และถึงตอนนี้ตัวเลขดังกล่าวก็ยังไม่กลับมา

          ...ดังนั้น หากประเทศไทย ไปสร้างอะไรที่ทำให้จีนไม่พอใจขึ้นมา แล้วจีนสั่งห้ามไม่ให้คนจีนมาท่องเที่ยวประเทศไทย เศรษฐกิจการท่องเที่ยวเราก็จะได้รับผลกระทบทันที เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างความบาลานซ์ คือเปิดรับนักท่องเที่ยวจากจีนเข้ามาไทยได้เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องให้เข้ามาได้ในระดับพอประมาณ เพื่อว่าไม่ใช่หากเกิดอะไรขึ้นมาแล้วมีผลกระทบ เศรษฐกิจของประเทศเราจะพังหมด

เพราะต้องไม่ลืมว่า รายได้จากนักท่องเที่ยวดังกล่าวตอนนี้กลายเป็นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติของประเทศเรา เมื่อตัวเลขนักท่องเที่ยวนี้หายไป รายได้ดังกล่าวก็หายไปด้วย

....ในช่วง  3 ปีที่ผ่านมาที่โควิดระบาด ประเทศเราถึงเหนื่อยมากในด้านเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจของเราได้รับผลกระทบจากตรงนั้น เพราะหากดูจากระบบเศรษฐกิจส่วนอื่นๆ ยังไปได้ เช่นเรื่องการส่งออก ก็ขนส่งทางอากาศหรือทางเรือ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากโควิดมาก ธุรกิจส่งออก จึงช่วยระบายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ จากที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นๆ ได้รับผลกระทบ จนบางรายทำต่อไม่ไหว ต้องเลิกกิจการ หรือมีการขายกิจการ ทำให้มีนักธุรกิจต่างชาติ คนจีนเข้ามาซื้อกิจการ จนเกิดกรณีอย่างที่เป็นข่าวในปัจจุบัน

          "สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราจึงต้องคิดกันให้ดี วางแผนกันให้ดี เราต้องมีบาลานซ์ เราต้องมีดุลยภาพ ไม่ใช่ไปพึ่งใครมากเกินไปจนสุดกู่ เพราะหากเราไปหวังแต่พึ่งเขาจนสุดกู่ ก็เป็นหลักคือ หากใครมีอำนาจเหนืออีกฝ่าย ต่อให้เขาเป็นพระ เขาก็อาจเปลี่ยนนิสัยได้ เพราะเขารู้ว่าอำนาจนั้นอยู่ในมือเขา อำนาจไม่เข้าใครออกใคร สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้อยู่แล้ว อย่างการเมืองไทยที่คณะทหารเข้ามาทำรัฐประหารหลายต่อหลายครั้ง ก็เข้ามาเพื่ออำนาจ เพื่อมาฉ้อฉล

 เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามรักษาความเป็นประชาธิปไตยของเราเอาไว้ แต่เมื่อเราอยู่ในวงเวียนของเศรษฐกิจที่เป็นตัวกำหนดทิศทางของประเทศ เพราะเป็นเรื่องของปากท้องของประเทศ เราจึงต้องระวังเรื่องการสร้างดุลยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศเราให้ดี ด้วยการอย่าไปหวังพึ่งใครมากจนเกินไปนัก เพราะหากตรงจุดใดจุดหนึ่งมีปัญหาขึ้น ก็จะได้มีอีกจุดหนึ่งคอยมาช่วยไว้ได้ มันต้องเดินไปแบบนี้ ตรงนี้ต้องทำให้ได้ ตรงนี้ต้องไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีทางเลือกเลย

          ."ปรีดา"ให้มุมมองว่า อย่างหากเป็นผม ทางผมก็จะไม่กลับไปหาหรือไปหวังจากนักท่องเที่ยว20-25 เปอร์เซ็นต์ที่มาจากประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงประเทศเดียวอีกต่อไป ผมจะไม่ยอมอีกต่อไป เพราะมันเสี่ยง แต่เราคนไทยด้วยกัน เราควรมาคุยกันแบบเงียบๆดีกว่า

..... เช่นคุยกันในระดับคณะกรรมการที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องความมั่นคงของชาติ โดยให้มีตัวแทนภาคเอกชนรวมอยู่ด้วย รวมถึงประชาชนทั่วไปที่เขามีความรู้ด้านวิชาการสาขาต่างๆ มานั่งคุยกัน เช่น มาคุยกันว่า เอาแบบนี้ดีกว่า พยายามคุมนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยปีละให้ไม่เกินห้าล้านคน อาจเป็นนโยบายแห่งชาติคือให้มาปีละห้าล้านคน โดยอาจเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพระดับหนึ่งด้วย เรื่องแบบนี้สามารถทำได้ เพราะปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจีน เขาไม่ได้มาเที่ยวประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ปัจจุบันอันดับหนึ่งคือญี่ปุ่น ตอนนี้ญี่ปุ่นเรื่องการท่องเที่ยวก็หวังพึ่งจีนมาก เขาก็หวาดเสียว เขาก็อาจเริ่มมีการคุยกันแล้วว่า จะทำอย่างไรที่จะพึ่งจีนน้อยลง เรื่องแบบนี้คือ ดุลยภาพทางเศรษฐกิจที่เราต้องมาพูดคุยกันได้แล้วให้ชัดเจน ต้องมีการกำหนดเป็นตัวเลข เพราะถ้าไม่กำหนด แผนงานก็จะหละหลวม และไม่เกิดการประสานงานกัน

          -จะมีข้อเสนอในเรื่องการรักษาดุลยภาพระหว่างประเทศไทย กับประเทศมหาอำนาจของโลก ทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจอย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป?

          ประการแรก เราต้องดูก่อนว่าประเทศไทยเก่งอะไร และไม่เก่งอะไร เราอย่าไปทู่ซี้ทำอะไรที่เราไม่เก่ง อย่าไปให้ผู้ที่มีอำนาจเหนือตลาดในประเทศไทย เป็นคนสั่งการเราว่าเราต้องทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ไม่ควรให้เป็นแบบนั้น

ผมคิดว่าต้องเป็นฉันทานุมัติของคนในประเทศด้วยการมาวิเคราะห์ร่วมกันเลยว่าประเทศไทยเราเก่งทางด้านไหน เมื่อเห็นว่าเราเก่งในด้านไหน ก็ยึดตรงนั้นเป็นจุดหลัก เพราะถ้าเราเก่งด้านนั้น เราจะมีอำนาจต่อรองขั้นต้นคือ ประเทศอื่นต้องพึ่งพาเรา

ไม่ใช่ว่า คิดแต่เรื่องจะเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ซึ่งใครๆ ก็เลี้ยงได้ ไม่ใช่มาบอกว่า คุณเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่แล้วทำให้ประเทศเจริญ ที่ไม่จริง เพราะหมู ไก่ เป็นสินค้าเป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับการบริโภคของแต่ละประเทศ ทำให้แต่ละประเทศก็ต้องเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่เพื่อให้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศไว้ก่อน ไม่มีใครที่จะยอมมาหวังพึ่งเนื้อหมูเนื้อไก่จากเมืองไทย เพราะอาหารคือความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนแต่ละประเทศ เป็นเรื่องความมั่นคงของแต่ละประเทศ สิ่งเหล่านี้ เราจะไปเน้นทำไม เราต้องเน้นสิ่งที่เราทำได้ดี เช่น พืชเกษตรอย่างตะไคร้  มะกรูด มะนาว

          ผมเคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่จีนห้าเดือน เวลาว่างๆ ผมก็ดูการใช้ชีวิตของคนจีน เคยไปเห็นพวกอาหารต่างๆ ที่คนจีนเขารับประทานกัน ผมพบอย่างหนึ่งว่าวัตถุดิบที่เขาใช้ทำอาหารรับประทานกัน ไม่เกินสิบสองชนิด พบว่าเขาไม่มีพวกมะกรูด ใบตะไคร้ มะนาว เขาไม่ปลูกพืชเกษตรเหล่านี้อาจเพราะไม่ใช่อาหารหลักที่ทำให้อิ่มทอง  แต่เป็นเครื่องปรุงอาหารเพื่อสร้างรสชาดของการรับประทานอาหาร เพราะก็เป็นไปตามหลัก คือพืชเกษตรส่วนใหญ่ก็จะต้องปลูกสิ่งที่ทำให้อิ่มทองเช่นข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด รวมถึงก็ต้องเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่

          ช่วงที่อยู่ประเทศจีน ดังกล่าว หลายครั้งผมนั่งรถผ่าน ทั้งไร่ข้าว ไร่ข้าวโพด-ข้าวสาลี ก็พบแต่ไร่ข้าว ไร่ข้าวโพดข้าวสาลี ตลอดเส้นทาง เขาทำเกษตรพืชหลักแบบนี้เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีอาหารที่ทำให้ท้องเขาอิ่มได้ ทำให้ชีวิตรอดตายได้ แต่เขาไม่มีคุณภาพชีวิตที่จะเอาตระไคร้ ใบมะกรูดปลูกเข้าไป เพราะพืชเกษตรแบบนี้ เพาะปลูกแล้วผลิตผลที่ออกมาก็ได้ไม่มาก แต่มันได้ราคามาก

ผมว่าเราคนไทยควรทำแบบนี้ อย่างข้าว ต่างประเทศเขาอาจจะมาซื้อจากเรา หากปริมาณข้าวที่ต่างประเทศเขามีอยู่ไม่เพียงพอต่อการบริโภค ก็จะมาซื้อจากไทย เพราะนโยบายการเพาะปลูกข้าวของแต่ละประเทศ ขั้นต้นคือต้องมีข้าวที่เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศไว้ก่อน อินเดีย ก็เช่นกัน เพราะพืชเกษตรเหล่านี้ คือตัวชี้เป็นชี้ตาย เพราะประเทศไทยเรา หากดูจากแผนที่ จะพบพื้นที่สีเขียวจำนวนมาก จนเขาเรียกเราว่า สุวรรณภูมิ มีมากกว่าประเทศในกลุ่มอาเซียนอย่างเวียดนามเสียอีก

          เรามีพื้นที่ราบในการปลูกธัญญาหารที่ดีที่สุด โดยทำให้ที่ราบเหล่านั้นปลูกพืชเกษตรที่มีราคา ที่มีความหลากหลาย ไม่ใช่ทำพืชเชิงเดี่ยวแบบปัจจุบันที่ทำกัน ที่สินค้าเกษตรบางอย่าง ที่ยิ่งได้ผลผลิตดี เมื่อมาถึงตลาด เวลาประมูลซื้อขายกันในตลาดค้าส่ง  ก็ซื้อราคาถูกเพราะผลผลิตออกมาเยอะ ยิ่งเยอะยิ่งถูกแต่ยิ่งทำให้ขาดทุน แต่ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรไม่ได้ลดลงเลย ต้องใช้ปุ๋ยเท่าเดิม ต้องใช้กำลังผลิตเท่าเดิม แต่ยิ่งผลิตผลออกมาเยอะ เกษตรกรยิ่งขาดทุน ทำไมรัฐบาลไม่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชให้มีความหลากหลาย อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ท่านทรงให้แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระองค์ท่านเคยรับสั่งว่า ให้ปลูกให้พอกินก่อนจะได้ไม่ต้องไปพึ่งคนอื่นเขา เสร็จแล้วที่เหลือจึงปลูกเชิงการพาณิชย์ แต่การปลูกเชิงพาณิชย์ให้ปลูกพืชที่มีราคา 

ผมจึงเห็นว่าเราควรส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชที่มีความหลากหลายที่ตลาดไม่ค่อยมี อย่างเพื่อนเราทางเหนือ ประเทศจีน เขาไม่มีเลย ตระไคร้ ใบมะกรูด ควรเน้นให้มีการเพาะปลูกเยอะๆ และหาทางระบายผลิตผลออกไปโดยภาครัฐต้องเข้ามาสนับสนุนเช่นเรื่องการหาตลาดส่งออก

ข้อเสนอรัฐบาลหลังเลือกตั้ง

ต้องรักษาสมดุล

ภูมิรัฐศาสตร์การเมือง-เศรษฐกิจโลก

          -ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นมองว่ารัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้ง ควรต้องปรับภูมิศาสตร์การเมือง-เศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างไร?

          ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด โดยเรื่องภูมิรัฐศาสตร์การเมือง ก็จะต้องรักษาดุลยภาพความสัมพันธ์ระหว่างสองขั้ว คือไทยต้องเป็นกลาง คือเราก็หมายถึงว่า จีน คือเพื่อนบ้านเรามาหลายพันปี เพราะจีนวัฒนธรรมของเขาห้าพันปี เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของการเป็นเพื่อนบ้านกัน แน่นอนอยู่แล้วว่าเราไม่ละทิ้ง เราถือว่าสำคัญ

แต่ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกา ก็เป็นแหล่งความรู้ของเขาในเรื่องการสร้างระบบการเมืองของประเทศ ให้เข้าสู่ระบบเสรีประชาธิปไตย เราก็ยึดถือว่าระบบเสรีประชาธิปไตยคือระบบที่จะใช้ในการปกครองประเทศ เพราะภายใต้ระบบนี้ มีสิ่งสำคัญที่สุดก็คือว่า ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ดี มีสิทธิ์มีเสียงในการแสดงความเห็น ที่เราต้องรักษาไว้ เราต้องรักษาสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เราต้องการมีสิทธิ์เสรีในการเคลื่อนย้ายตัวเองไปอยู่ในที่ต่างๆได้โดยเสรี และเราก็ต้องการความยุติธรรมและการกระจายรายได้ โดยเฉพาะการเข้าถึงระบบความยุติธรรมตั้งแต่ตำรวจไปจนถึงศาล จะต้องมีความยุติธรรม ที่จับต้องและตรวจสอบได้ เราต้องการระบบการศึกษาที่ให้ความเท่าเทียมกัน

          -คิดว่าแปดปีที่ผ่านมาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เรื่องการต่างประเทศ การวางบทบาทประเทศไทยในภูมิรัฐศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะการรักษาดุลยภาพกับมหาอำนาจทั้งจีน สหรัฐ รัสเซีย เป็นอย่างไรบ้าง?

          ผมมองไม่เห็นบทบาทนั้นชัดเจน เพราะสิ่งที่ผมเห็นสำหรับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในช่วงที่ผ่านมา ก็คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้นเอง ผมไม่เห็นบทบาทในลักษณะที่ว่าจะทำเรื่องของการสร้างดุลยภาพ ที่เป็นเรื่องการทำงานแบบต่อเนื่องและทำแบบระยะยาว ไม่มีการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ในการที่จะนำพาประเทศเข้าสู่ภูมิรัฐศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจในสมัยปัจจุบัน ผมไม่เห็นสิ่งนี้

          ที่ผ่านมา บางครั้งผมก็ได้ยินว่ากลุ่มหนึ่งต้องการจะให้ไทยอิงกับจีนมากกว่าสหรัฐฯ แต่ก็มีบางกลุ่มบอกว่าควรอิงกับสหรัฐฯมากกว่า อันนี้คือสุ้มเสียงที่ออกมา ซึ่งผมไม่เห็นด้วย เราควรต้องให้ความสำคัญเท่าเทียมกัน ก็คิดว่ารัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้ง เมื่อเข้ามาแล้วจะต้องรักษาดุลยภาพภูมิรัฐศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจโลก

          "เราต้องให้ความสำคัญกับเข็มทิศภูมิรัฐศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจโลก เพราะเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อควบคุมไม่ได้ เราก็ต้องเอาตรงนี้ให้ชัดก่อนว่าเราจะอยู่ตรงไหน ของภูมิรัฐศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจโลก ที่ก็คือเราต้องเป็นกลาง

          เรารู้ว่าประเทศจีน เปรียบเสมือนเพื่อนบ้าน เรารู้ว่าสหรัฐอเมริกา เปรียบเสมือนเป็นแหล่งของความเป็นเสรีประชาธิปไตย ที่เราก็อยากจะมีวิถีชีวิตแบบนั้น แต่เราก็ไม่ได้ไปตามเสรีประชาธิปไตยแบบเขาทั้งหมด เราก็ต้องมีโมเดลเสรีประชาธิปไตยของเราเอง ที่้ต้องเหมาะสำหรับคนไทย แต่ว่าโดยภาพรวม หลักการพื้นฐานของเสรีประชาธิปไตย เป็นหลักการที่ดีที่สุดในการบริหารประเทศ เราต้องการอยู่ตรงนั้น สหรัฐฯ จึงเป็นแหล่งของความเป็นเสรี ส่วนจีน ก็เหมือนญาติที่อยู่ถัดไป เราจึงต้องรักที่จะคบหากับทั้งสองประเทศ"

เราต้องให้ความสำคัญกับเข็มทิศภูมิศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจโลก เพราะเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อควบคุมไม่ได้ เราต้องเอาตรงนี้ให้ชัดก่อนว่าเราจะอยู่ตรงไหน ของภูมิศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจโลก ที่ก็คือเราต้องเป็นกลาง..ต้องเอากลุ่มของสหรัฐฯเข้ามาถ่วงดุล เพราะก็ไม่มีใครที่จะมีอำนาจมาถ่วงดุลจีนได้ นอกจากสหรัฐฯและประเทศที่รวมตัวอยู่ฝ่ายเดียวกันกับสหรัฐฯ เราจึงควรต้องดีกับทั้งสองฝ่าย ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา... ต้องเล่นบทให้เป็น ต้องมีบาลานซ์ มีดุลยภาพ

............................................................................................................

เสียงสะท้อนภาคธุรกิจ

มองการหาเสียงเลือกตั้ง

และสเปกนายกฯที่อยากเห็น

         

-ช่วงนี้การหาเสียงเลือกตั้งเริ่มต้นแล้ว ในฐานะมาจากภาคธุรกิจ อยากเห็นอะไรในการเลือกตั้งครั้งนี้?

          ผมว่าการที่จะมีการมาหาเสียงโดยให้สัญญาจะทำอะไรต่างๆ แบบหลักลอย โดยไม่มีการระบุถึงช่วงเวลาในการทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ให้ชัดเจน เช่นบอกว่ามีนโยบายจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ขึ้นมาแบบdouble เลย โดยไม่มีการบอกว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ในการทำ ขอให้เลิกเถอะ เพราะมันเป็นคำพูดที่ไร้สาระ คือเรารู้ว่าอยู่ดีๆ สมมุติหลังเลือกตั้งเสร็จแล้วปีหน้า จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาแบบdouble เลยมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจจะพังหมด

สิ่งสำคัญเลยก็คือ การหาเสียงว่ามีนโยบายจะทำอะไรต่างๆ เรื่องที่หาเสียง พรรคการเมืองจะต้องพูดให้มันชัด ทำอะไรให้มันชัด เพื่อให้คนวัดได้ว่าสิ่งที่พูดหาเสียงไว้ทำได้จริงหรือไม่ เพราะไม่ใช่ว่าพอพูดตอนหาเสียง แล้วพอเข้าไปเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ก็มาอ้างว่ายังทำไม่ได้เพราะเป็นนโยบายที่้ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ หลังถูกวิจารณ์ว่าไม่ได้ทำ ถ้าแบบนั้น การหาเสียงก็ควรบอกเวลามาให้ชัดว่าสิ่งที่หาเสียงไว้จะทำเมื่อใด แบบนี้คือการหาเสียงแบบมีคุณภาพ คือต้องบอกให้ชัด ไม่ใช่มาพูดลอยๆ ยุทธศาสตร์ต้องมีรายละเอียดมาเป็นบางส่วนด้วย ไม่ใช่มาพูดแบบลอยๆ เหมือนการเมืองสมัยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ที่บางพรรคการเมืองก็เคยทำแบบนี้

ผมจึงมองว่า ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่การเล่นการเมืองต้องมีคุณภาพมากขึ้น เพราะหากการเมืองมีคุณภาพ การเมืองก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์

          หลายนโยบายที่พรรคการเมืองหาเสียงกันตอนนี้ ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่ผมขอว่า ที่นำเสนอนโยบายต่างๆ ตอนหาเสียง จะต้องมีรายละเอียดของนโยบายที่หาเสียงไว้ด้วย อย่างที่บางพรรคหาเสียงเรื่องการให้เงินบำนาญผู้สูงอายุเดือนละ 3,000 บาท ผมเห็นด้วย เป็นเรื่องพึงกระทำ เพราะเงินที่ให้อยู่ปัจจุบันเดือนละ 600-700 สมัยนี้จะเอาไปทำอะไรได้ และคนสูงอายุคือคนที่มีบุญคุณต่อประเทศ ในตอนนี้คนที่เป็นลูกหลานก็ควรช่วยท่าน สิ่งเหล่านี้ถูกต้อง เพียงแต่ต้องบอกเรื่องที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้ในนโยบายดังกล่าวรวมถึงนโยบายอื่นๆ ที่หาเสียงกัน มาจากไหน

          -ในฐานะมาจากภาคธุรกิจ คาดหวังอะไรกับการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเฉพาะกับรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ว่าจะเข้ามาพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร?

          พลเอกประยุทธ์ก็พิสูจน์ฝีมือตัวเองแล้ว อันนี้เราก็ต้องยอมรับ ซึ่งผมเฝ้าดูการทำงานของพลเอกประยุทธ์มาตลอด นายกฯก็ทำงานได้เท่านี้ และคนที่อยู่รอบข้างนายกฯ ผมก็ไม่เห็นมีอะไร ไม่มีอะไรหรือหวา ผมก็อยากได้รัฐบาลที่มองเห็นภาพใหญ่เชิงมหภาค  Macroeconomics จะทำให้รู้ว่าสถานภาพของประเทศเราอยู่ตรงไหน และคุณจะรู้เลยว่าหากไม่ทำในระดับมหภาคให้อยู่ ก็จะทำให้ในระดับจุลภาค  Microeconomics จะทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ เพราะจะไม่มีอำนาจที่จะคุมสถานการณ์ได้

          ยกตัวอย่างที่ผมบอกข้างต้น หากเราพึ่งพาเศรษฐกิจของจีน พึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ หากวันหนึ่ง สหรัฐอเมริกาไม่พอใจเรา ที่ไปเอาใจจีนมากเกินไป แล้วสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ ส่งออกของไทยก็จะเกิดผลกระทบตามมาทันที แรงงานที่อยู่ในส่วนนี้ ก็อาจประสบปัญหาการมีงานทำตามมา นี้คือ"ปัจจัยภายนอก"ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ในฐานะเป็นรัฐบาลก็คือ ต้องบาลานซ์ให้ดี เพราะฉะนั้น คนที่จะมาบริหารประเทศในอนาคต ต้องเข้าใจตรงนี้คือเรื่อง"ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ-ภูมิศาสตร์การเมืองสมัยใหม่"

          -ในฐานะนักธุรกิจเพื่อสังคม ที่ออกมาแสดงความเห็นเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำอยู่เสมอ มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองควรให้ความสำคัญเรื่องชุดนโยบายในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างไรบ้าง?

          อย่างที่บอก หากเราสามารถอ่านภูมิศาสตร์การเมือง-เศรษฐกิจโลกยุคปัจจุบันได้อย่างชัดเจน เราก็จะรู้ได้ว่าประเทศไทยควรเดินไปทางไหน และเดินไปอย่างไร เพื่อสร้างอำนาจการต่อรองให้กับตัวเอง เราต้องดึงความสามารถที่เหลือของคนไทยทั้งหกสิบกว่าล้านออกมา

ผมบอกได้เลยว่า ประชากรไทย จะไม่เพิ่มจาก 66 ล้านคนที่มีอยู่ตอนนี้ แต่ว่าจำนวนประชากรจะลดลงมาอีก ไม่เคยมีประเทศไหนที่ประชากรเมื่อเริ่มถดถอยแล้วต่อไปจะกลับมาเพิ่มขึ้น ยกเว้นจะทำแบบสิงคโปร์ คือนำเข้าคนจากข้างนอกเข้าประเทศไปเลย ซึ่งเราทำอยู่แล้วปัจจุบันคือการนำแรงงานจากเมียนมาเข้ามาช่วยเรา ก็ร่วม 4-5 ล้านคน แต่ในท้ายที่สุด เราจะนำคนข้างนอกเข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้ขนาดไหน เพราะหากวันข้างหน้า ประเทศเขาเริ่มกลับมาดีขึ้นมา แรงงานเมียนมาในไทยก็อาจกลับประเทศ เศรษฐกิจเราก็อาจได้รับผลกระทบ เพราะทุกอย่างก็มีข้อจำกัดด้วยกันทั้งสิ้น

 เราต้องพิจารณาดูตัวของเราเองให้ดีๆ ที่สุดท้ายแล้ว เราก็จะรู้ได้ว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองตัวเองให้มีศักยภาพในการดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึง และพอเพียง ด้วยการนำพลังของคนรุ่นใหม่ ให้สร้างผลิตผลที่สูงที่สุด ซึ่งผลิตผลที่ผมอยากแนะนำก็คือ ผลิตผลทางด้านการเกษตรให้มีความหลากหลาย หนีออกไปจากระบบการทำเกษตรแบบพืชเชิงเดี่ยว เลิกคิดได้แล้วว่าไทยต้องเป็นประเทศส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก ข้าวโพดก็ปลูกแต่พอกิน ไปปลูกพืชที่มีราคา

เสียงสะท้อน 8 ปีรัฐบาลประยุทธ์

และสิ่งที่อยากเห็น

จากรัฐบาลหลังเลือกตั้ง

          -อยากเห็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งมีลักษณะอย่างไร ?

           เขาต้องรักประเทศ รักประชาชน มีความจริงใจ ผมยอมรับเลยว่าผมผิดหวัง พลเอกประยุทธ์ ผมเลือกเขา แต่ผมไม่เห็นเลยว่า เขาทำอะไรที่เขามองประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ผมมองไม่เห็นเลย ผมยังไม่เห็นคนๆนั้นในประเทศไทยเลย ที่ผ่านมาเราอาจเคยเห็นนายกรัฐมนตรีที่เห็นแบบนี้อยู่บ้าง แต่เขาก็อยู่ในตำแหน่งสั้นเกินไป แต่เราควรจะต้องมีนายกรัฐมนตรีที่รักประเทศ ต้องการให้ประเทศก้าวหน้า ไม่ใช่ทำเพื่อให้คนบางกลุ่มก้าวหน้า แล้วคิดว่าคนกลุ่มนั้นจะมาช่วยคนระดับล่างให้ดีขึ้น ไม่มีทาง

          การทำให้คนมีกำลังใจที่จะสร้างผลิตผลให้กับประเทศ เพื่อที่จะมาดูแลซึ่งกันและกัน จะต้องทำให้เขารู้สึกว่าเขาสามารถที่จะกำหนดชะตาชีวิตให้ตัวเขาเองได้ เขาจะต้องมีอำนาจการต่อรอง เราต้องให้คุณภาพการศึกษาที่ดีกับเขา ต้องทำให้เขามีฐานของวิชาชีพ ต้องสร้างอาชีพที่เหมาะกับแผ่นดินไทยขึ้นมา จนคนรู้สึกว่าเขามีส่วนในการทำให้สังคมดีขึ้น และมีรายได้พอสำหรับการจุนเจือ ไม่ใช่ไปเน้นหนักอุตสาหกรรมใหญ่ๆ เสร็จแล้วก็ควบรวมกันขึ้นมา จนมีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งกลุ่มที่พอมีอำนาจเหนือตลาด ก็ไปปิดกลั้นการเติบโตของกลุ่ม Startup หมด

          -หากสุดท้าย กลุ่ม 3 ป.ยังต้องการสืบทอดอำนาจการเมืองอยู่ มองว่าจะเป็นอย่างไร?

          ทั้งสามคนได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า การทำงานของเขาไม่ได้อินังขังขอบคนไทยอะไรสักเท่าใดนัก ส่วนมากเขาก็ทำเพื่ออำนาจของพวกเขากันเอง และความร่ำรวยด้วย

 การกระจายรายได้ของประเทศไทยแย่สุดในช่วง 3 ป.อยู่ในอำนาจ และด้วยเหตุนี้เอง ผมบอกเลยว่าผมรับไม่ได้แล้วรัฐประหาร อย่ามาอีก มีอะไรให้ประชาชนจัดการกันเอง ทักษิณ เข้ามา เราก็จัดการไปแล้ว ตอนที่ทักษิณระเริงตัวเอง เราไม่อยู่เฉยหรอก ตอนนี้ความเป็นเสรีประชาธิปไตยของเรา พวกเราได้เรียนรู้มาเต็มที่แล้ว

          -แปดปีของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ มองว่าเป็นอย่างไรบ้าง?

          สำหรับแปดปีของพลเอกประยุทธ์ ข้อดีอย่างเดียวที่ผมเห็นชัดเจนคือโครงสร้างพื้นฐาน เขาเร่งให้มันเร็วขึ้น ซึ่งโครงการต่างๆ มันไม่ใช่ความคิดของเขา มันเป็นความคิดของรัฐบาลหลายชุดในช่วงที่ผ่านมา แต่ว่าโครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้นมันมาเห็นในช่วงรัฐบาลประยุทธ์ อันนี้ to be fair อย่างพวกรถไฟฟ้า ถนนหนทางต่างๆ เขาเร่งให้เกิดเร็วขึ้น แต่ว่าส่วนอื่นในการสร้างวิสัยทัศน์ของประเทศ ที่จะมารองรับภูมิศาสตร์การเมืองเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนา ผมมองไม่เห็นตรงนั้นเลย มองไม่เห็นความเป็นปึกแผ่น รั้วของชาติ

การหาเสียงควรบอกเวลามาให้ชัดว่าสิ่งที่หาเสียงไว้จะทำเมื่อใด แบบนี้คือการหาเสียงแบบมีคุณภาพ คือต้องบอกให้ชัด ต้องมีรายละเอียดมาเป็นบางส่วนด้วย ไม่ใช่มาพูดแบบลอยๆ เหมือนการเมืองสมัยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ...ถึงเวลาแล้ว ที่การเมืองต้องมีคุณภาพมากขึ้น เพราะหากมีคุณภาพ การเมืองก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์

                                                                                    โดยวรพล กิตติรัตวรางกูร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ธนกร' เชื่อครม.ใหม่เดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนทันที ปัญหาประเทศรอไม่ได้

นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนเชื่อว่า รัฐมนตรีทุกคนมีศักยภาพและประสบการณ์ในการทำงาน

'อุ๊งอิ๊ง' ดูไว้! นักการเมืองต้องรักษาสัจจะเหมือน 'อภิสิทธิ์' เคยหาเสียงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์

เมื่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวในงานอีเวนต์ ”10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10“ ว่า พรรคเพื่อไทยตัดสินใจถูกตั้งรัฐบาลผสม

'จักรพงษ์' ปัดเลื่อนชั้นขึ้นนั่ง รมต. จากสายตรงเศรษฐา ยันไร้ปัญหากับปานปรีย์

นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเข้าถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวถึงกรณีที่ถูกมองว่าเป็นการพาร์ทชั้นจากเดิมที่อยู่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ไม่ได้พาร์ทชั้นหรอก

'สุชาติ' ลั่นทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ซีเรียสเป็น รมช.พาณิชย์

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ ถึงการได้กลับเข้าทำเนียบรัฐบาลในรอบ 7 เดือน ว่า ได้กลับเข้ามาทำงานให้ประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนเดิม

ทำเนียบคึกคัก! รัฐมนตรีใหม่ถ่ายภาพทำบัตร ก่อนเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯ

รัฐมนตรีใหม่ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ได้เดินทางเข้าทำเนียบฯเพื่อถ่ายภาพทำประวัติ และทำบัตรประจำตัวรัฐมนตรี ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคั

'ก้าวไกล' ไม่กังวลถูกยุบพรรค 'ชัยธวัช' บอกคุยลูกพรรคหลายรอบแล้ว

นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาให้พรรคก้าวไกลแก้ข้อกล่าวหาในคดีล้มล้างการปกครอง ว่า คดีนี้มีความร้ายแรงมากกว่าคดีก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ