บัญชีวัด: โอกาสและความท้าทายระหว่างทางสู่ความโปร่งใส

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2565 ดิฉันเคยเขียนบทความเรื่อง “จัดระเบียบการเงินวัด เริ่มต้นด้วยการทำบัญชีให้ถูกต้อง” เพื่อชี้ให้เห็นว่าการทำบัญชีวัดไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขบนกระดาษ แต่คือเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความศรัทธา ความโปร่งใส และธรรมาภิบาลให้แก่องค์กรทางศาสนาที่มีบทบาทอย่างสูงในสังคมไทย บทความดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งจากฝ่ายสงฆ์ ภาคประชาชน และผู้เกี่ยวข้องในภาครัฐ

อย่างไรก็ดี เส้นทางสู่การมีระบบบัญชีวัดที่เป็นระบบระเบียบ ตรวจสอบได้ และเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทรัพยากรของวัด ยังเต็มไปด้วย “โอกาส” และ “ความท้าทาย” ที่ต้องร่วมกันพิจารณาอย่างรอบด้าน

โอกาสที่ไม่ควรปล่อยผ่าน

1. เครื่องมือสร้างความศรัทธา

ในยุคที่ข่าวคราวเกี่ยวกับการทุจริตในวัดเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ การเปิดเผยข้อมูลรายรับ-รายจ่ายของวัดอย่างเป็นระบบ กลายเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของญาติโยม และช่วยให้วัดมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัย โปร่งใส และน่าเคารพยิ่งขึ้น

2. การวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

บัญชีวัดไม่ใช่เพียงเพื่อการตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารงบประมาณวัด เช่น การกันเงินบางส่วนไว้ใช้ในการบูรณะวัด การศึกษาพระภิกษุ สามเณร หรือการช่วยเหลือชุมชนในยามวิกฤติ เช่น โรคระบาดหรือภัยธรรมชาติ

3. ต้นแบบของธรรมาภิบาลในภาคศาสนา

วัดที่สามารถจัดทำบัญชีได้อย่างโปร่งใส มีระบบระเบียบ และเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้ได้อย่างเข้าใจง่าย ย่อมสามารถเป็นต้นแบบให้แก่วัดอื่น ๆ ได้เดินตาม และสามารถเป็นกรณีศึกษาสำหรับการยกระดับธรรมาภิบาลในองค์กรไม่แสวงหากำไรโดยรวม

4. โอกาสในการใช้เทคโนโลยีสนับสนุน

ปัจจุบันมีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อองค์กรศาสนาโดยเฉพาะ รวมถึงระบบที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลบัญชีวัดกับหน่วยงานของรัฐ เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้แบบเรียลไทม์ ลดภาระของพระภิกษุและไวยาวัจกรในการจัดทำรายงานด้วยตนเอง

ความท้าทายที่ต้องเผชิญอย่างจริงจัง

1. ขาดบุคลากรที่มีความรู้บัญชี

ในหลายวัด การจัดทำบัญชียังอยู่ในความรับผิดชอบของบุคคลที่ไม่มีพื้นฐานทางการบัญชี เช่น ญาติของเจ้าอาวาส หรือชาวบ้านผู้มีจิตอาสา แม้จะมีเจตนาดี แต่เมื่อไม่มีระบบควบคุมภายในที่ดีพอ ย่อมเปิดช่องให้เกิดข้อผิดพลาดและข้อครหาได้ง่าย

2. โครงสร้างอำนาจภายในวัด

วัดเป็นองค์กรที่มีลำดับชั้นอำนาจชัดเจน เจ้าอาวาสเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด การตัดสินใจหลายอย่างจึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของท่าน แม้บางวัดจะมีไวยาวัจกรทำหน้าที่ด้านการเงิน แต่หากเจ้าอาวาสไม่มีความเห็นชอบ รายงานบัญชีก็อาจไม่มีบทบาทที่แท้จริง

3. ขาดระบบการตรวจสอบภายในและภายนอก

วัดส่วนใหญ่มักไม่มีระบบสอบทานบัญชีที่ชัดเจน หรือมีบุคคลภายนอกเข้ามาตรวจสอบอย่างมืออาชีพ รายงานทางบัญชีจึงอาจกลายเป็นเพียง “พิธีกรรมรายปี” ที่ทำส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)  โดยขาดการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์เชิงบริหารอย่างแท้จริง

4. ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและงบประมาณ

แม้จะมีระบบบัญชีออนไลน์ที่ใช้งานง่าย แต่ก็ยังมีวัดอีกจำนวนมากที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต หรือบุคลากรที่สามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่ว การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลจึงต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการส่งเสริม

เรื่องเล่าจากพื้นที่จริง

ดิฉันยังได้ลงพื้นที่เข้าไปช่วยให้คำแนะนำในการจัดทำบัญชีที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งมีการบริหารจัดการด้านบัญชีอย่างน่าสนใจ วัดแห่งนี้ไม่ได้ปล่อยให้เรื่องบัญชีเป็นภาระของไวยาวัจกรหรือเจ้าอาวาสเพียงลำพัง แต่เลือกที่จะดึงพระสงฆ์หลายรูปเข้ามามีบทบาทในกระบวนการบริหารจัดการการเงินของวัด โดยมีการแบ่งมอบหมายความรับผิดชอบในกิจกรรมหรืองานแต่ละประเภทอย่างชัดเจน เช่น การดูแลเงินกองทุนการศึกษา การบูรณะวัด หรือกิจกรรมเผยแผ่ธรรมะ นอกจากนี้ ยังมีการประชุมคณะสงฆ์เป็นประจำ เพื่อรายงานความคืบหน้าและกำกับติดตามการใช้จ่ายเงินของแต่ละหน่วยงานภายในวัด ส่งผลให้การใช้จ่ายเงินมีความโปร่งใสและได้รับความไว้วางใจจากญาติโยมเป็นอย่างมาก

ระหว่างการให้คำปรึกษาด้านบัญชีและการควบคุมภายใน พระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำบัญชีของวัดได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ผมมาบวชเพราะตั้งใจจะได้มาปฏิบัติธรรม แต่พอต้องนั่งทำบัญชี ผมแทบจะไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจเลย คุณโยมมีวิธีง่าย ๆ แนะนำหรือไม่”

จากบทสนทนานี้ ข้าพเจ้าจึงได้นำแอปพลิเคชั่นสำหรับบันทึกรายรับ-รายจ่ายที่ใช้งานง่ายมาให้วัดได้ลองใช้ หลังจากได้ทดลองใช้งาน พระรูปเดิมเล่าให้ฟังว่า “แบบนี้ดี แอปพลิเคชันช่วยผมได้เยอะ ประหยัดเวลา ข้อมูลไม่ต้องบันทึกซ้ำ และเห็นผลลัพธ์ทันทีเพียงแค่กด”

กรณีของวัดแห่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การส่งเสริมความรู้ควบคู่กับการให้เครื่องมือที่เหมาะสม ย่อมสามารถช่วยให้การจัดทำบัญชีวัดเป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริง และไม่เป็นภาระเกินกำลังสำหรับพระสงฆ์ในยุคปัจจุบัน

ทางออกและข้อเสนอแนะ

1. อบรมไวยาวัจกรทั่วประเทศอย่างจริงจัง

จัดหลักสูตรบัญชีวัดพื้นฐานควบคู่กับหลักธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างแรงจูงใจในการจัดทำบัญชีให้มีคุณภาพ

2. จัดตั้งเครือข่ายนักบัญชีจิตอาสา

ให้นักบัญชีในพื้นที่ หรือมหาวิทยาลัยที่มีคณะบัญชี เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงวัดใกล้บ้าน พร้อมให้คำแนะนำตลอดทั้งปี

3. พัฒนาแพลตฟอร์มบัญชีวัดระดับชาติ

ออกแบบระบบบัญชีออนไลน์แบบง่าย ใช้งานได้ทั้งในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ มีฟังก์ชันสรุปรายงานอัตโนมัติ และส่งข้อมูลต่อให้ พศ. ได้ทันที

4. สร้างวัดต้นแบบโปร่งใส

เฟ้นหาวัดที่ทำบัญชีได้ดี มอบรางวัล และเผยแพร่เรื่องราวความสำเร็จ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้วัดอื่น ๆ

สรุปส่งท้าย

วัดไม่ใช่หน่วยธุรกิจ แต่ก็ไม่สามารถละเลยความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินที่ได้รับจากความศรัทธาของประชาชนได้ การมีระบบบัญชีที่ดีไม่เพียงแต่ทำให้วัดสามารถบริหารทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นเสาหลักในการสร้างศรัทธาในระยะยาว

หากเราร่วมมือกันแก้ไขข้อจำกัด เติมเต็มศักยภาพของไวยาวัจกร และยกระดับระบบบัญชีวัดให้ทันสมัยและโปร่งใส วัดก็จะสามารถก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางจิตใจของชุมชนอย่างมั่นคง และสมศักดิ์ศรีในบทบาทของตนในสังคมไทย

พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ดร ปวีนา กองจันทร์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เรื่องดีดี มิติใหม่การเมือง แก้ไข พรบ.ล้มละลาย ฟื้นฟูหนี้บุคคลธรรมดา

วันที่เขียนต้นฉบับตรงกับวันที่ 14 กันยายน 2568  หลังวันเกิดนายก อนุทิน ชาญวีรกุล หนึ่งวัน เริ่มนับเป็นเรื่องดีดี เรื่องแรก ขอให้ท่านนายกสามารถบริหารคณะรัฐมนตรี นำความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ความผาสุกสู่ประชาชนอย่างเท่าเทียมตลอดอายุรัฐบาลที่มีเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา  นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสื่อมวลชน

ประเทศไทย…ต้องไปต่อ (อย่างไร?)

วันนี้ขออนุญาตที่จะไม่กล่าวถึงประเด็นปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามและภาษีการค้าแต่ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านในฐานะพลเมืองไทยได้ร่วมคิดวิเคราะห์กันว่าในภาพรวมนั้น ประเทศของเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรและต้องไปต่อกันด้วยแนวทางใดภายใต้บริบทของระบบสังคมและความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

การพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน :  มุมมองด้านการกำกับดูแล

คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เห็นชอบหลักการของร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ.......... ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ปีแห่งความร่วมมือ ร่วมใจในการพัฒนาสังคมไทยสู่ความเสมอภาค

ผู้อ่านหลายท่านน่าจะเห็นตรงกันว่าปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยได้เผชิญกับความ  ท้าทายหลายประการท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์  ผลการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาภายใต้นโยบาย Trump 2.0 ที่จะทำให้สงครามทางการค้าเข้มข้นมากขึ้นและประเทศไทยย่อมจะได้รับผลกระทบหลายประการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ-มองต่างมุม

เมื่อต้นปี 2567 มีหนังสือตีพิมพ์ใหม่เล่มหนึ่ง ชื่อ The Trading Game: A Confession ผู้เขียน คือ Gary Stevenson ได้รับความชมชอบจากผู้อ่าน (4.2 ดาว จาก website Goodreads) และมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์อยู่ 2 ประเด็นว่า ผู้เขียนโอ้อวดเกินจริงว่าตนเป็นนักค้าเงินอันดับหนึ่งของโลก และอีกประเด็นในเรื่องแนวความคิดเกี่ยวกับความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจที่ผู้เขียนมองว่า เป็นแนวความคิดใหม่ที่นักเศรษฐศาสตร์มองไม่เห็นมาโดยตลอด

ประเทศชาติจะเปลี่ยนไป เมื่อคนไทยเปลี่ยนแปลง 

ประเทศไทยจะอยู่กับวิกฤติการเมืองที่เลวร้าย หรือจะก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ดีกว่า 2เส้นทางเดินสำคัญที่คนไทยจะต้องเลือกเดิน คือ…1.เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป คนไทยต้องเปลี่ยนตาม(When the world changes and we change with it.) หรือ 2.เมื่อคนไทยเปลี่ยนแปลงไป ประเทศไทยก็จะเปลี่ยนตาม(When we change, the world changes.)