
กฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยจริยธรรมของนักการเมืองได้ถูกนำมาบังคับใช้กับนายกรัฐมนตรีไทย อีกครั้ง
และดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และความแข็งกร้าวแห่งความเป็นบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ
ทำให้มีผู้ให้ความเห็นว่าต่อๆไปศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมีการบังคับใช้กฎหมายจริยธรรมอย่างเคร่งครัดเป็นประเพณีนิยมนิติธรรมาภิบาลอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ศาลได้แยกประเด็นจริยธรรมออกจากประเด็นความไม่ซื่อสัตย์ไม่สุจริตประพฤติผิดคิดมิชอบและคอร์รัปชั่น อย่างชัดเจน
ประเด็นความผิดเรื่องจริยธรรมนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าน่าจะมีการใช้บังคับในรัฐธรรมนูญเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น
ในชั่วชีวิตของผมจึงรู้สึกแอบดีใจที่มีโอกาสเห็นบรรทัดฐานแห่งจริยธรรมของรัฐถูกนำมาใช้ในทางพัฒนาเด้านนิติธรรมในครั้งนี้
แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ที่ยังคงเห็นการดิ้นรนต่อสู้ของพรรคการเมืองโดยมีการเปลี่ยนข้างเปลี่ยนขั้วทันทีทั้งที่น้ำหมึกคำวินิจฉัยยังไม่ทันแห้ง และไม่ให้ความสนใจต่อ กฎกติกามรรยาท หรือ Rules of Engagement แต่อย่างใด
โดยอ้างว่าเป็นสิทธิของ ส.ส. ไม่เกี่ยวกับจริยธรรม จรรยาบรรณ หรือ กฎกติกามรรยาท ใดใด
ทำให้คิดว่าคำว่าจริยธรรมของไทยเรานี้อาจขึ้นอยู่กับว่าใครก็ได้เป็นผู้ให้คำนิยาม
และถึงแม้ว่าตามรัฐธรรมนูญจะได้มีการกำหนดองค์ประกอบความผิดในการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงแต่น่าจะยังขาดคำนิยามที่ชัดเจนภายใต้การกำกับดูแล ในลักษณะแบบเดียวกันกับที่บรรษัทในตลาดหุ้นถูกบังคับให้มีบรรษัทภิบาล และธรรมาภิบาล
คำว่า ศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรมจรรยาบรรณ กฎกติกามรรยาทและธรรมาภิบาลนั้น ภาษาไทยมักใช้รวมกันไป แต่สามารถแยกแยะขยายให้ตรงกับภาษาอังกฤษ 6 คำรวมกันคือ 1. Virtues คือจริยบัญญัติที่มาจากคุณธรรมความดีของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง 2. Codes of Conduct คือจริยบัญญัติที่มาจากความประพฤติ หรือจรรยาบรรณ เช่น จรรยาบรรณแพทย์ 3. Deontologism หรือจริยบัญญัติที่มาจากอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ ( Obligation and Duty) คือหน้าที่พลเมือง 4. จริยบัญญัติที่มาจากศีลธรรม ( Religiosity and Morality) ทางศาสนาหรือจารีตประเพณีของบรรพชน 5. จริยบัญญัติที่มาจาก กฏกติกาของการต่อสู้ (หรือ Rules of Engagement )และ 6. จริยบัญญัติที่มาจากมรรยาทในกิริยาอาการสำเนียงการพูดคิดถามเขียนการเข้าสังคม หรือ Mannerism
แปลไทยเป็นไทย จริยธรรมคือหน้าที่ศีลธรรม ที่วิญญูชนพึงประพฤติปฏิบัติ ตามที่สั่งสอนและสะสมกันอยู่ใน DNA กันมาของสังคมโดยบรรพชนและในศาสนาต่างๆและในจารีตประเพณีและวัฒนธรรม
ในอารยธรรมตะวันตกได้เพิ่มเงื่อนไขมาอีกสองคำคือ Utilitarianism คือ การมีอรรถประโยชน์ต่อคนหมู่มากโดยส่วนรวมและ Teleogism คือวัตถุประโยชน์ อันมีมรรคผลโดยตรงต่อคนหมู่มากโดยส่วนรวม
ลัทธิหรือศาสตร์แห่งอรรถวัตถุประโยชน์นิยม นี้ มีหลักว่าการคำนึงถึงนโยบายสาธารณะจะต้องพิจารณาก่อนว่าเป็นประโยชน์แก่คนส่วนมากหรือไม่ เช่นนโยบายตั้งบ่อน หรือ ปราบcallcenter และอื่นๆจะเป็นประโยชน์แก่คนไทยส่วนใหญ่หรือไม่
จริยธรรมนี้ความจริงคือวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ที่สูญพันธ์ไปจากหลักสูตรกระทรวงศึกษาและ DNAของเราไปนานแล้ว
แต่ในโลกตะวันตกของUtilitarianism จริยธรรมเป็นที่มาของต้นแบบของ Theory of Harm หรือ ธรรมาภิบาล (Governance) ภายใต้กฎหมายหลายฉบับ รวมทั้งกฎหมายการแข่งขันทางการค้า เพราะต้องมี จรรยาบรรณหรือบรรษัทภิบาล
เมื่อคำนึงว่าจริยธรรมมีความสำคัญถึงบังคับควบคุมบริษัทและถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ถึง สองคนติดๆกันสังคมไทยควรให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบและประเมินจริยธรรมของพรรคการเมือง นักการเมือง โดยอาจใช้การตรวจสอบโดย
1. มีองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่อาจรวมตัวกันสร้างระบบนิเวศน์ (ecosystem) สำหรับตรวจสอบจริยธรรมของพรรคการเมืองและผู้สังกัดพรรคการเมือง ในเชิงรัฐประศาสนภิบาลเช่นอาจให้คะแนนในการเรตติ้งพรรคการเมืองเหมือนกับที่รีวิวภาพยนต์หรือภัตตาคาร หรือให้คะแนนจัดอันดับของพรรคการเมืองในด้านนโยบายสาธารณะและธรรมาภิบาล
2. มีกรรมการเป่านกหวีดหรือผู้ตรวจสอบ (Audit) ข้อร้องเรียนต่อพรรคการเมือง และนักการเมืองอย่างสม่ำเสมอ
3. มีการตรวจสอบโดยใช้ peer review และ
4. สนับสนุน(incentivize)ให้พรรคการเมืองมีนโยบายเปิดเพื่อให้ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะและธรรมาภิบาลต่อบุคลากรการเมืองภายในพรรคผ่านการอบรมโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่นจากสถาบันพระปกเกล้า หรือมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลเป็นต้น
ดังนั้น ถึงเวลาหรือยังที่ผู้บริหารพรรคการเมืองและนักการเมือง ควรคำนึงถึงความสำคัญของจริยธรรมและการทำงานเชิงนโยบายให้แก่ส่วนรวมด้วยคุณธรรม จรรยาบรรณ เล่นตามกฎกติกามรรยาทให้มาก
ถ้าทำจริงๆคงไม่นานที่น่าจะได้เห็นการพัฒนาของพรรคการเมืองไทยทางด้านจริยธรรมและหวังว่าเราคงจะไม่ต้องเห็นการฉายหนังซ้ำที่นักการเมืองไทย ผู้บริหารพรรคการเมืองและพรรคการเมืองไทยต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองเช่นนี้อีก
บทความ คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ดร กฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'นิกร' หวัง 29 มี.ค.2569 เลือกตั้งพร้อมทำประชามติ
'นิกร' เชื่อลงล็อก 29 มี.ค.69 เลือกตั้งพร้อมทำประชามติ ประหยัดงบ 5 พันล้าน รับ วาระสามล่อแหลมเหตุใช้เสียง 1 ใน 3 มอง สส.-สว. ต้องคุยทำความเข้าใจ
ประธาน กมธ.แก้รัฐธรรมนูญคาด 2 ปีได้เห็นการเปลี่ยนผ่านประเทศ!
ปธ.กมธ.แก้รัฐธรรมนูญยันหลักการปรับกลไกทำรัฐธรรมนูญ เพื่อปลดล็อกสู่ รธน.ฉบับใหม่ คาด 2 ปีเศษจะได้เห็นการเปลี่ยนผ่านประเทศ
ดร.ณัฏฐ์ อัดเพื่อไทยสับขาหลอกเล่นสองหน้า ปมยื่นฟันจริยธรรมอนุทิน-รมต.สีเทา
นักกฎหมายมหาชนชี้ การยื่นสอยนายกฯ-รมต.สีเทา เป็นเกมสับขาหลอก เหล้าเก่าในขวดใหม่ เพื่อปั่นราคาและกดดันการเมือง มากกว่าตรวจสอบจริงจัง
ศาลรธน.ยังไม่นัดวินิจฉัยสถานะ 'ภูมิธรรม-ทวี' ปมแทรกแซงคดีฮั้วสว. รอความเห็นพยาน
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42
มติเอกฉันท์! ศาลรธน. ไม่รับคำร้อง 'เรืองไกร' กล่าวหารัฐสภาแก้ รธน.ล้มล้างการปกครอง
‘ศาลรธน.’ มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง ‘เรืองไกร’ ปมกล่าวหาประธานรัฐสภา–สมาชิกรัฐสภาใช้สิทธิล้มล้างการปกครอง ชี้การประชุมร่วมแก้รัฐธรรมนูญยังไม่ปรากฏพฤติการณ์เข้าข่ายมาตรา 49 แม้อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการแต่ผู้ร้องมีสิทธิเข้าศาลโดยตรงก็ตาม
คนเสื้อแดงกินแห้ว! ศาล รธน. ไม่รับวินิจฉัย ปม MOA 'ภูมิใจไทย-ปชน.'
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่นายนิยม นพรัตน์ (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 1) และนายณัฐพงษ์

