
หนี้ครัวเรือนของคนไทยในปัจจุบันมีมากถึง 1.62 ล้านล้านบาทโดยผลการศึกษาล่าสุดของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยผลสำรวจว่าหนี้ครัวเรือนไทยมีจำนวน 740,596.94 บาทต่อครอบครัวเพิ่มขึ้นถึง 22% ถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ4 ปี โดยกว่า 95% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่างรับว่าครอบครัวมีหนี้
การก่อภาระหนี้นั้น ไม่ใช่สิ่งผิดและถือเป็นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจด้วยหากเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้หรือเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สิน เช่นหนี้จากการจำนองบ้าน หรือการนำไปใช้ในการประกอบธุรกิจครัวเรือน แต่หากเป็นหนึ้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคลแล้ว ถือเป็นหนี้ที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศประสบปัญหาอยู่อย่างหาทางออกไม่เจอเพราะรายได้ไม่พอกับรายจ่ายและเมื่อต้องชดใช้ดอกเบี้ยของหนี้บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคลสูงมากถึงกว่าร้อยละ 20 ในแต่ละประเภทจึงเกิดสภาวะหนี้ซ้ำซากไปจนถึงหนี้ถาวรไม่สามารถหลุดออกไปจากวงจรแห่งหนี้ได้ สุดท้ายแล้วลูกหนี้ก็หันไปกู้หนี้ยืมสินจากญาติหรือเพื่อนและต่อเนื่องนำพาไปสู่การเป็นหนี้นอกระบบอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ต้องยอมรับว่าการลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายทางการเงินในแต่ละครั้งนั้นไม่ส่งผลให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนได้รับประโยชน์แบบถ้วนทั่วแต่อย่างใด
หนี้ครัวเรือนนั้น ประกอบด้วยหนี้การกู้ซื้อบ้าน ที่อยู่อาศัย หนี้เช่าซื้อรถยนต์ และหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต หนี้ด้านการศึกษา รวมถึงมีหนี้การกู้ส่วนบุคคลที่นำไปใช้ในการประกอบธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง การกู้ไปใช้จ่ายในธุรกิจนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการอนุมัติเงินกู้หรือสินเชื่อทางธุรกิจและเป็นเหตุที่ทำให้จำนวนหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มลดลงสวนทางกับจำนวนหนี้นอกระบบที่น่าเชื่อว่ามีจำนวนสูงขึ้นตามลำดับ
เราลองมาดูอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในฝั่งของสถาบันการเงินกันบ้าง โดยอัตราเงินฝากทุกประเภทจะอยู่ในช่วงระหว่างอัตราร้อยละ 0.25- 2.50 ต่อปีในขณะที่อัตราเงินกู้ได้ถูกกำหนดได้ถึงอัตราร้อยละ 25 ต่อปีในกรณีของสินเชื่อเงินด่วน ซึ่งความแตกต่างมากมายขนาดนี้เป็นสิ่งที่นักวิชาการจำนวนมากเห็นตรงกันว่าอาจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยากต่อการหลุดพ้นจากดอกทบต้นได้ ในขณะเดียวกัน หากหนี้ครัวเรือนเป็นหนี้ดี ลูกหนี้ไม่เคยผิดนัดแล้ว มีคำถามว่าสมควรหรือไม่ที่ลูกหนี้กลุ่มนี้ควรจะได้ผลประโยชน์แบบพิเศษในลักษณะของ incentives บ้างเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้เป็นลูกหนี้ชั้นดีต่อไป
ธนาคารแห่งประเทศไทยเองในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินได้เล็งเห็นถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนมาโดยตลอดและก็ได้พยายามเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ด้วยการเตรียมออกมาตรการกำกับและควบคุมการทำธุรกรรมเช่าซื้อลิสซิ่งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รวมถึงโครงการ “หมอหนี้” ให้ความรู้ด้านการจัดการหนี้อย่างเป็นระบบ (ค้นหารายละเอียดได้ที่ services.bot.or.th หรือ โทร 1213 เวลาทำการ)
ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ด้วยแล้วก็ยิ่งน่าเป็นห่วงในกลุ่มหนี้เสียหรือหนี้ NPL (Non-Performing Loan) ที่มีสัญญาณติดลบมาตั้งแต่ช่วงโควิดโดยหนี้ประเภทนี้มีการเติบโตมีจำนวนถึง 1.22 ล้านล้านบาทที่เป็นยอดคงค้าง ในช่วงในต้นปี 2568 และมีจำนวนมากกว่า 500,000 ล้านบาทอยู่ในกลุ่มสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมากที่ไม่สามารถชำระหนึ้ได้
ในส่วนของกระบวนการทางกฎหมายนั้น ต้องฝากความหวังไว้ที่ร่างกฎหมายฟื้นฟูสภาพหนี้ฉบับบุคคลธรรมดาหรือวิสาหกิจขนาดย่อมที่ลูกหนี้จะสามารถยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการหรือฟื้นฟูสถานภาพได้โดยไม่ตกเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งในปัจจุบัน สภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาเห็นชอบแล้วและอยู่ระหว่างการนำเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
เมื่อใดที่กฎหมายนี้ได้ประกาศใช้แล้ว ลูกหนี้ SMEs หรือบุคคลธรรมดาที่มียอดหนี้ไม่เกิน 50 ล้านบาทจะมีโอกาสใช้สิทธิตามกฎหมายใหม่นี้ในการขอพักชำระหนี้ไว้ได้ชั่วคราว (Automatic stay) และยังสามารถเจรจาขอปรับโครงสร้างกับเจ้าหนี้หลายรายได้พร้อมๆกัน รวมถึงการเสนอแผนฟื้นฟูกับเจ้าหนี้หรือต่อศาลได้อีกด้วย
ล่าสุดนั้น สถาบันอนุญาโตตุลาการ หน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรมซึ่งรับผิดชอบด้านการจัดการประนอมข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการยังได้จัดเสวนาหัวข้อ “ทางออกเพื่อหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน” โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาร่วมกันนำเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและคงมีอีกหลายหน่วยงาน หลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและสถาบันการเงินต่างๆได้เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้การแก้ไขหนี้ครัวเรือนเป็นวาระของประเทศ รวมถึงการมีข้อเสนอที่ควรค่าของการนำไปปฏิบัติให้นำวิชา การบริหารการเงิน บรรจุเป็นวิชาบังคับในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาให้เด็กไทยตั้งแต่เล็ก ได้เรียนรู้เรื่องบัญชีและการเงินพร้อมที่จะเติบใหญ่เป็นพลเมืองดี มีวินัยในการใช้จ่ายและสามารถจัดการเรื่องการเงินได้อย่างเป็นระบบ
เทวัญ อุทัยวัฒน์
บทความ คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'นักเศรษฐศาสตร์' ชำแหละซื้อหนี้ NPLนโยบายประชานิยม เกิดวิกฤติสถาบันการเงิน หายนะในอนาคต
รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า นโยบายซื้อหนี้รายย่อยมองผิวเผินอาจเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่ความจริงแล้วจะนำมาซึ่งหายนะ
นักวิชาการเตือนไทยเสี่ยงภาวะเงินฝืด
ไทยเสี่ยงภาวะเงินฝืด Quick Big win เพียงช่วยบรรเทา แนะต้องปรับโครงสร้างใหญ่หนีรั้งท้ายอาเซียน กับดักซ้ำซ้อนกดทับประชาชนฐานราก
'บัตรเครดิต กรุงศรี’ตั้งเป้าปี69บัตรใหม่ 215,000 บัญชี โต 5%
กรุงศรีคอนซูมเมอร์ เดินเกมรุกปรับกลยุทธ์หวังรักษาฐานลูกค้ากระตุ้นการใช้จ่าย พร้อมตั้งเป้าปี 69 ออกบัตรใหม่ให้ได้ 215,000 บัญชี หรือเติบโต 5% ขณะที่ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรตั้งเป้าอยู่ที่ 240,000 ล้านบาท เติบโต 6%


