15 ต.ค.โหวตร่างแก้ไข รธน. ส่องโอกาส-มติ ที่ประชุมรัฐสภา หากโดนสกัด-ตีตก เป็นเรื่องแน่!

หากว่าเปรียบเทียบกัน ความเข้มข้นของการที่ประชาชนจะมีส่วนร่วม ถือว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทยจะน้อยสุด ...แต่หากพูดถึงโอกาส-ความเป็นไปได้  ยังหวังว่าในการประชุมรัฐสภา วันที่ 14-15 ต.ค. ทางรัฐสภา น่าจะโหวตรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไปทั้ง 3 ร่าง

เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา

ในสัปดาห์นี้มีวาระการเมืองที่น่าสนใจ เพราะช่วงวันที่ 14-15 ต.ค. ที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะมีการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 ที่จะเป็นประตูนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีสามพรรคการเมืองเสนอร่างเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา คือ  พรรคภูมิใจไทย (ภท.), พรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคเพื่อไทย (พท.)

เพราะต้องไม่ลืมว่าข้อตกลงทางการเมือง หรือ MOA ระหว่างพรรคประชาชนกับอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในช่วงการโหวตนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา มีเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการจัดทำประชามติ เพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รวมอยู่ด้วย การแก้ไข รธน.ในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งการขับเคลื่อนการเมือง ตามข้อตกลงระหว่างอนุทินกับพรรคประชาชน ซึ่งการลงมติในวาระแรกจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ต.ค. โดยแยกการลงมติเป็นรายร่าง ซึ่งร่างที่จะผ่านวาระแรกต้องได้เสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภา (สส.-สว.) เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่ปฏิบัติหน้าที่ และจะต้องมีเสียงสว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน สว.ที่มีอยู่ คือต้องมี สว.ลงมติรับหลักการไม่ต่ำกว่า 67 เสียง ซึ่งจนถึงขณะนี้พบว่าเริ่มมีสุ้มเสียงตอบรับร่างแก้ไข รธน.บางฉบับ โดยเฉพาะร่างของพรรคภูมิใจไทย อย่างไรก็ตามเรามีการสอบถามท่าทีจาก สว. ในฐานะสมาชิกรัฐสภาถึงการพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ในวันที่ 14-15 ต.ค.

โดย "เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภาและในฐานะสมาชิกรัฐสภา" กล่าวว่า เบื้องต้นวาระการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะประชุมกันจะเป็นการพิจารณาวาระแรกในขั้นรับหลักการ อย่างน้อยวาระรับหลักการก็ไม่ควรที่จะรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ปิดโอกาสที่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง

...เบื้องต้นผมยังไม่เห็นตัวร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของสองพรรคการเมือง คือพรรคเพื่อไทยกับของพรรคภูมิใจไทยแบบตัวเต็มๆ เห็นเพียงแค่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน ในส่วนของหลักการทางพรรคประชาชนก็ไม่ได้ปิดในส่วนนี้ ดังนั้นผมคิดว่าในส่วนนี้อยากจะให้รัฐสภาพิจารณา อย่างน้อยที่สุดยังเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสที่จะเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงที่สุดแล้วมันก็ยังมีอีกทางหนึ่ง ก็คือการทำประชามติ โดยครั้งแรกอาจจะยังไม่ต้องทำประชามติในแง่ของการรับรองในส่วนของการแก้ไขหมวด 15 หรือว่ามาตรา 256 ที่กำลังทำอยู่ แต่ว่าไปทำประชามติถามประชาชนเลยว่า เขาอยากจะเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงหรือไม่ครับ คือนอกจากคำถามแรกเรื่องของการจัดทำประชามติ ว่าเห็นด้วยอยากจะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และคำถามที่ 2 ก็คือ ประชาชนประสงค์ที่จะเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงหรือไม่

...เพราะว่าจริงๆ แล้วในส่วนดังกล่าว มันก็คือยืนยันว่าประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ตามที่คำวินิจฉัยที่ 4/2564 ที่ศาลธรรมนูญเคยวางแนวไว้

ผมคิดว่าแนวทางดังกล่าวยังเป็นทางออกที่เป็นไปได้ แต่ถ้าหากว่ายังไม่มีทางออกอื่นแล้ว ก็ยังคงต้องใช้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3 ร่างที่ยื่นต่อรัฐสภา เป็นธงนำในการจัดการแก้รัฐธรรมนูญหรือจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

"สว.เทวฤทธิ์" กล่าวถึงรายละเอียดในร่างแก้ไข รธน.ของทั้ง 3 พรรคการเมืองที่เสนอต่อรัฐสภาว่า ในมิติของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับจะขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มแรก คือกลุ่มที่ประชาชนจะเรียกว่าไม่มีโอกาสเลือก  ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม มีโอกาสเพียงแค่สมัครและให้รัฐสภาจิ้มเลือก ก็คือร่างของพรรคภูมิใจไทย โดยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทยก็คือ ให้ประชาชนสมัครทั้ง 77 จังหวัด แล้วก็ให้รัฐสภาคือทั้ง สส.และ สว.เป็นผู้จิ้มเลือกให้เหลือจำนวน 77 คน แล้ว ส.ส.ร.อีก 22 คนให้มาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ

ซึ่งถ้าหากว่าเปรียบเทียบกันความเข้มข้นของการที่ประชาชนจะมีส่วนร่วม ถือว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทยจะน้อยสุด

...ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ลักษณะคล้ายกัน แต่มีเนื้อหารายละเอียดที่อาจจะแตกต่างกัน ก็คือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยกับร่างของพรรคประชาชน

ในส่วนเพื่อไทยก็คือ ในส่วนหนึ่งที่ใช้แบ่งเขตในการเลือก ส.ส.ร. โดยเลือกมา 300 คน แล้วให้สมาชิกรัฐสภาจิ้มเลือกเหลือ 100 คนจาก 300 เหลือ 100 คน และมี ส.ส.ร.อีก 51 คนที่มาจากตัวแทนขององค์กรต่างๆ ที่สภาผู้แทนราษฎร  วุฒิสภา คณะรัฐมนตรีเสนอมา อันนี้จะไม่มีประชาชนมีส่วนร่วมเลย จะมีแค่ส่วนแรกก็คือเลือกมาจากเขต 300 คน แล้วส่งชื่อไปให้รัฐสภาเลือกเหลือ 100 คน

ขณะที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน จะมีสองส่วนคือ ส.ส.ร.กับสภาที่ปรึกษา ซึ่งที่มาของ ส.ส.ร.จะใช้กลไกที่ยังคงให้รัฐสภาจิ้มเลือก แต่ว่าไม่ใช้ระบบเขตแบบเขตเลือกตั้ง แต่ให้ใช้ระบบเขตคือประประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ลักษณะก็จะคล้ายกับกรณีการเลือก สส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์บัญชีรายชื่อ โดยให้ประชาชนเลือกมา  70 คน แล้วส่งชื่อมาให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 35 คนก็คือตัดออกครึ่งหนึ่ง ซึ่งวิธีการตัดออกก็ให้คำนึงถึงสัดส่วนก็คือ สส.หรือ สว.รวมกันได้  20 คนก็สามารถที่จะโหวตเลือกได้ 1 คน ที่ก็คือจากสมาชิกรัฐสภา 700 คน (ส.ส. 500 คน รวมกับ สว. 200 คน) ก็เหลือเลือกได้ 35 คน

...แต่อีกส่วนหนึ่งจะเป็นส่วนที่รัฐสภาไม่มีส่วนร่วม ก็คือในส่วนนี้คือประชาชนเลือกโดยตรง แต่ว่าไม่ได้ทำหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ทำหน้าที่ในการสำรวจความเห็น แล้วก็ให้คำปรึกษากับคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ซึ่งตามร่างของพรรคประชาชนใช้ชื่อว่า สภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ โดยใช้เขตเลือกตั้งเป็นเขตเหมือนคล้ายๆ เขตพื้นที่เลือกมาจำนวน 100 คน โดยทำหน้าที่ในการรับฟังความเห็น แล้วก็สะท้อนความเห็นต่อคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน

ประเมินท่าทีสภาสูโหวตร่างแก้ไข รธน. 15 ต.ค.

"เทวฤทธิ์ สมาชิกวุฒิสภา" กล่าวว่า หากให้ประเมินว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใดที่จะสร้างการมีส่วนร่วมได้มาก ก็คือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนจะสร้างการมีส่วนร่วมให้มาก เพราะว่าการได้มาซึ่ง ส.ส.ร.เป็นโจทย์สำคัญ แต่ระหว่างทางในการที่ประชาชนเข้าไปกำกับ หรือเข้าไปมีส่วนร่วมอันนี้ก็สำคัญยิ่งกว่า เพื่อเป็นการการันตีว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มันจะสะท้อนเสียงความหวังหรือความต้องการของประชาชน ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ร่างที่ยื่นเข้ามา ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน มีการพูดถึงทั้งที่มาของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และกระบวนการในการร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเข้าไปสะท้อนผ่านสภาที่ปรึกษาได้

...แต่หากพูดถึงโอกาส-ความเป็นไปได้ ผมก็ยังหวังว่าในการประชุมรัฐสภาวันที่ 14-15 ต.ค. ทางรัฐสภาน่าจะโหวตรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไปทั้ง 3 ร่าง

ผมคิดว่าในเกณฑ์แรก ที่ก็คือเกณฑ์ต้องได้เสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภาด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา ก็คงจะผ่านทั้ง 3 ร่าง แต่ในเกณฑ์ที่ในจำนวนเสียงที่ให้ความเห็นชอบจะต้องมี สว.ลงมติเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า  1 ใน 3 ซึ่งถ้าดูจากท่าทีก็ประเมินยากเหมือนกัน เพราะถ้าหากว่าดูจากร่องรอยของที่ผ่านมา ถ้าดูจากแนวโน้มของ สว.ที่มีโอกาสมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้าอิงจากเรื่องของประชามติตอนที่มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ที่ สว.เสียงส่วนใหญ่ลงมติเห็นด้วยกับการให้ทำประชามติสองชั้น จากเดิมร่างที่สภาฯ เห็นชอบและส่งมาให้วุฒิสภา ให้ทำประชามติแค่ชั้นเดียว จะพบว่ามี สว.ประมาณ  22 คนเองที่โหวตไม่เห็นด้วยกับประชามติสองชั้น แต่ว่าถ้าดูจาก สว.ที่ลงมติตอนที่ นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว.เสนอญัตติให้รัฐสภาส่งคำถามถึงศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ  (ต้องทำประชามติกี่ครั้ง) ที่เสนอโดยนพ.เปรมศักดิ์ พร้อมกับนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ จากพรรคเพื่อไทย

หากดูจาก สว.ที่ลงมติเห็นด้วยกับการส่งคำถามถึงศาลรัฐธรรมนูญ พบว่ามี สว.ลงมติเห็นด้วย 32 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น สว.กลุ่มอิสระ เพราะว่าฝั่ง สว.เสียงส่วนใหญ่หรือจะเรียกฝั่งน้ำเงินก็ได้ พบว่าเสียงส่วนใหญ่ใช้วิธีงดออกเสียง จนพบว่ามี สว. 32 คนเห็นด้วยกับการส่งคำถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญกับอีก 12 คนที่ไม่เห็นด้วย โดย 12 คนดังกล่าวคือสว.กลุ่มที่อยากให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว และมั่นใจว่าไม่ต้องถามศาลรัฐธรรมนูญอีก ก็คือทำประชามติแค่สองครั้ง

ดังนั้น ถ้ามัดเสียงรวมกัน 32 คน แปลว่าถามมาแล้ว และได้คำตอบมาแล้วก็คงมั่นใจที่จะโหวต บวกกับอีก 12 ก็ได้ 44 คน ที่ก็คือเสียง สว.ก็ยังไม่ถึง 67 คน (หนึ่งในสาม) แต่ตอนนั้นอย่างตัวผมเองก็ไม่ได้ค้าน ผมก็อภิปรายว่าไม่ได้ค้านเพราะว่าถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องพึ่งมือเขาในการโหวตผ่านหรือไม่ผ่าน ตอนนั้นผมก็งดออกเสียง ดังนั้นผมก็ถูกนำไปรวมเข้าไปอยู่ในเสียงส่วนใหญ่เหมือนกัน ดังนั้นหากมองในแง่นี้  ปัจจัยชี้ขาด เสียงส่วนน้อย ถ้าจะหวังว่ามีเสียงส่วนใหญ่หลุดมาสัก 20-30 คน แล้วจะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านได้ ผมคิดว่ายาก เพราะที่ผ่านมาเขาค่อนข้างเป็นเอกภาพมาก ดังนั้นตัวที่ขาดก็เป็นเสียงส่วนใหญ่

...ซึ่งผมก็ไปดูว่า สว.เสียงส่วนใหญ่ตอนนี้เขามีท่าทีอย่างไร ผมยังไม่เห็น สว.คนอื่นนอกจากคุณนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ ที่ก็เป็นโฆษกวิปวุฒิสภาด้วย ล่าสุดก็ให้สัมภาษณ์ท่าทีเหมือนกับพูดแบบกั๊กๆ แต่ก็ไม่ได้ปิดประตูเรื่องของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ไปพูดทำนองว่าถ้าประชาชนเห็นด้วย-ก็จะเอาด้วย แต่ว่าคุณก็ต้องเปิดทางตรงนี้ก่อนคือ มีสว.1 ใน 3 ลงมติเห็นชอบด้วยกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนเพื่อเปิดทางแก้ 256 และหมวด 15

...ซึ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะอ้างเวย์ไหนในแง่ของการที่จะฟังหรือไม่ฟังประชาชน แต่ว่าสิ่งที่เขาพูด เขาบอกว่าถ้าประชาชนเห็นด้วยเขาก็ไม่คัดค้าน ตรงนี้ผมก็ยังกังวลอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าพูดแบบโลกสวยก็คือ ล่าสุดพรรคใหญ่3 พรรค (ประชาชน-เพื่อไทย-ภูมิใจไทย) มีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แสดงเจตนารมณ์ว่าต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน ด้วยการทำผ่านการแก้ไขมาตรา 256 แล้วก็หมวด 15 

...ผมก็หวังว่าทาง สว.น่าจะฟังมากขึ้น เสียงน่าจะอ่อนลง จากท่าทีก่อนหน้านี้ตอนเรื่องร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ผมคิดว่าตรงนี้โอกาสก็สูง แต่ถามว่าฟันธงเป็นไปได้ไหมก็ยังยาก แล้วอีกอย่างหนึ่งมันก็จะมีเรื่องที่ผมก็ไม่แน่ใจ ว่าเขาจะแสดงให้เห็นถึงอะไร หนึ่งคือปัจจัยแรก คือจะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ได้สัมพันธ์กับรัฐบาล หรือพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อันนี้ก็เป็นโอกาสที่เขาจะแสดง ถามว่าคุ้มหรือไม่ ก็เป็นโจทย์ที่เขาต้องแบก แต่ว่าโจทย์หนึ่งที่เขา (สว.) ไม่เสียแน่ๆ ก็คือบทบาทในแง่ของการปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ (รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน) ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครเป็น the guardian ในการปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้เท่ากับ สว.เสียงส่วนใหญ่ นี่คือมูลค่า เรียกว่าเป็นทรัพยากรทางการเมืองที่เขาสามารถที่จะถือได้

และต้องบอกว่าหากดูจากกระแส เนื่องจากที่ผ่านมาเราพูดไปในเชิงเทคนิคมาก อย่างที่ให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ผมก็สัมภาษณ์ได้เชิงเทคนิค เราไม่ค่อยได้พูดในเชิงเนื้อหา ดังนั้นคนส่วนใหญ่ก็จะติดภาพว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทำไมต้องไปแก้ไขด้วย รัฐธรรมนูญมีปัญหาอะไร คนที่อยากจะแก้ก็เป็นเฉพาะนักการเมืองกลัวเรื่องของการตรวจสอบ กลัวเรื่องจริยธรรมอะไรแบบนี้ ผมคิดว่ากระแสมันก็เลยดูแบบว่า คนก็ไม่ได้ไปลงทุนกับการที่จะอธิบายว่าทำไมอะไรแบบนี้ (เหตุผลในการต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ) ซึ่งผมยังเห็นว่าถ้ามองในมุมกว้างคนทั่วไป ก็อาจยังรู้สึกว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องแก้  ดังนั้นเมื่อไม่จำเป็นต้องแก้ บวกกับการทำประชามติที่จะเกิดขึ้น ผมยังเห็นว่ากระแสหลักหากเขาจะทำต่อ เรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 น่าจะเป็นกระแสหลักที่จะถูกพูดถึงมากกว่ารัฐธรรมนูญ ที่ผมว่าคนอาจจะไม่ค่อยได้อินขนาดนั้น ในแง่นี้เขาอาจจะคุ้มที่จะขวางการแก้ด้วยซ้ำไป ผมมองแบบนี้

ร่างแก้ไข รธน.ฉบับปกน้ำเงิน มีโอกาสผ่านรัสภามากที่สุด 

เมื่อถามว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทย  ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่ามีความสัมพันธ์บางอย่างกับ สว.สีน้ำเงิน  โดยพบว่าร่างของภูมิใจไทยมีการเขียนว่า การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ให้แตะหมวด 1 และหมวด 2 อีกทั้งยังคงเสียงของ สว.ในการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้แต่ลดให้เหลือต้องได้เสียง สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 หรือสี่สิบเสียง โดยลดจากเดิม 67 เสียง ดูแล้วเป็นไปได้หรือไม่ที่ร่างแก้ไข รธน.ของภูมิใจไทยจะผ่านรัฐสภาวาระแรกแค่ร่างเดียว "เทวฤทธิ์-สว." กล่าวตอบว่า ต้องบอกอย่างนี้ว่ามีโอกาสที่สุดในบรรดาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่าง โดย 40 เสียงของ สว.ในสถานการณ์ปัจจุบันก็ถือว่าก้ำกึ่ง แต่แน่นอนว่ามันต้องเปิดประตูด่านแรกก็คือ สว. 67 เสียงในการโหวตวาระแรกกับวาระที่ 3 ของการแก้มาตรา 256  แต่ว่าหลังจากนั้นที่ลดให้เหลือ 40 เสียง แปลว่าโอกาสในการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราระหว่างที่จะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับก็เป็นไปได้มากขึ้น แต่ว่าก็ผมมานั่งไล่ดู 40 เสียงของเสียงที่ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ก็ยังลุ้นหืดขึ้นคอ เพราะว่าไม่ได้หมายความว่า สว.นอกจากเสียงส่วนใหญ่จะเป็น สว.ที่เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งหมด เพราะ สว.ก็มีความคิดหลากหลาย เผลอๆ บางคนอาจจะขวางกว่าเสียงส่วนใหญ่ด้วยซ้ำไปก็มี หมายถึงว่าเรียกว่าปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมากกว่า สว.เสียงส่วนใหญ่ที่แสดงท่าทีออกมา

เมื่อถามถึงท่าทีของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ตอนแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา มีช่วงหนึ่งลุกขึ้นชี้แจงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ไม่สามารถไปคุยอะไรกับ สว.ในเรื่องนี้ได้ เพราะจะผิดรัฐธรรมนูญ เป็นท่าทีเหมือนกับจะบอกว่า หากเกิด สว.จะโหวตเห็นชอบรัฐธรรมนูญหรือไม่เห็นชอบ ตัวนายกฯ ไม่เกี่ยว คิดว่าท่าทีดังกล่าวมีนัยอะไรหรือไม่ "เทวฤทธิ์-สว." ให้ความเห็นว่า ใช่ครับ ก็ต้องเรียกว่าเป็นการเมืองเชิงเรียกว่าไม่สามารถระบุเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ต้องเรียกอย่างนี้ดีกว่า เพราะหากบอกเป็นลายลักษณ์อักษร บอกเป็นกิจจะลักษณะ มันก็จะผิดกฎหมาย แต่เขาเรียกว่ามหาสมาคมการเมือง เป็นอันที่ทราบกัน คือด้านหนึ่งเขาเองก็เป็นเป็นต้นทุนทางการเมืองที่ไม่สามารถที่จะปัดได้ หมายถึงว่ามันเป็นอะไรที่ใครๆ ก็อยากได้ทรัพยากรตรงนี้ที่เป็น สว. เพราะว่ามันคืออนาคตขององค์กรอิสระ มันคืออนาคตของอะไรอีกหลายอย่าง

ผมคิดว่าด้านหนึ่ง แม้ว่าเขาจะปฏิเสธอีกด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่ปฏิเสธในทางพฤตินัย แต่ว่าอันนี้มันก็เป็นด้านที่เป็นด้านบวกกับเขาด้วย แต่ว่าเขาจะไปรับตรงๆ ก็ไม่ได้ อันนี้มันก็เป็นโจทย์ที่ยากที่จะทำได้ แต่ว่าภาพที่เกิดขึ้นก็คืออย่างที่ผมบอกก็คือ 3 พรรคการเมืองเขาเปิดประตูแล้ว  ผมคิดว่า สว.เองก็ไม่น่าจะขวาง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอันนี้ก็เป็นการดีลกันระหว่างพรรคการเมือง ซึ่งผมก็ยังคิดว่าโอกาสที่จะชัดเจนก็ยาก แต่ผมก็ยังเชียร์ว่าการทำประชามติครั้งแรก อาจจะยังไม่ต้องแก้ 256 หรือหมวด 15 ก็คือไปทำประชามติตอนที่จะมีการเลือกตั้ง ที่อาจอยู่ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2569 ก็คือทำประชามติ ถามว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ กับคำถามที่ 2 คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนหรือไม่

...ผมคิดว่าถ้าหากว่าเสียงของประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์ออกเสียงประชามติ ตอบว่า yes -yes ทั้งสองคำถามประชามติเกิน 16 ล้าน ที่อิงจากตอนประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ตอนทำประชามติเมื่อ 7 สิงหาคม 2559 ผมคิดว่า จะทำให้ สว.ปฏิเสธยากแล้ว แม้กระทั่งคนที่มีสายสัมพันธ์อันดีหรือพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่มีสายสัมพันธ์อันดีอย่างไม่เป็นทางการกับ สว.ก็จะปฏิเสธยากเพราะว่าเสียงมันไปทางนั้น  แต่ว่าปัจจุบันมันยังไม่มีการ proof ว่าเสียงส่วนใหญ่ต้องการหรือเปล่า แต่ว่าครั้นจะอยู่เฉย ๆ แล้วจะไปทำประชามติเลยโดยไม่มีกระบวนการในการเปิดเวที ไม่มีอะไรเลย ซึ่งหากย้อนไปดูตอนประชามติปี 2559 โดยตัดเรื่องความไม่ free ไม่ Fair ออกไป รัฐบาลเองก็ไม่ได้อยู่เฉย

ตอนนั้นก็มี ครู ก. ครู ข.  ใช้กลไกอะไรต่างๆ ไปรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัว เพราะว่าหากทำประชามติพร้อมกันกับวันเลือกตั้งในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2569 แต่ว่าเกิดประชาชนไม่ตื่นตัว ไม่เห็นถึงความสำคัญของการแก้รัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าโอกาสโหวตผ่านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย-ก็ยาก ที่ผมก็ได้เรียกร้องตอนลุกขึ้นอภิปรายนโยบายรัฐบาล ว่ารัฐบาลว่าต้องมีแอ็กชันแพลนออกไปด้วย ต้องทำอะไรมากกว่านี้ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ แล้วออกไปทำประชามติ ยิ่งหากจะให้มีการทำประชามติสองเรื่องในครั้งเดียวกัน คือไม่ยกเลิกเรื่องประชามติ MOU กระแสหลักจะไปเรื่อง MOU เพราะว่ามันเป็นประเด็นที่ดรามามาหลายเดือนตั้งแต่กรณีการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา มันปลุกง่ายกว่าด้วย

ถามย้ำว่า หากไม่มีการยกเลิกแนวคิดทำประชามติ MOU โดยประชาชน จะได้บัตรสี่ใบตอนไปออกเสียงเลือกตั้ง  ก็อาจทำให้คนไม่ได้สนใจเรื่องประชามติรัฐธรรมนูญ "สว.เทวฤทธิ์" กล่าวตอบว่า ใช่ครับ ผมคิดว่าวาระหลักในการเลือกตั้งครั้งหน้าถ้าเกิดมีเรื่องประชามติควรยกเลิก MOU 2543-MOU 2544 หรือไม่ คนจะถกเถียงกันในเรื่อง MOU มากกว่า  อย่างหากมีการจัดเวทีดีเบต คิดว่าโจทย์เรื่อง MOU จะเป็นโจทย์ที่เซ็กซี่กว่าเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนนี้มันถูกจมไปในเรื่องของเชิงเทคนิค แต่ว่าเรื่องชาตินิยมคือทุกคนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เขารู้สึกว่า relate อยู่แล้ว แม้ว่าอยู่ไกลจากพรมแดนจากกัมพูชา แต่เขายิ่งอยู่ไกลยิ่งรู้สึก relate มากกว่าด้วยซ้ำไป

ในช่วงท้ายเมื่อขอความเห็นเชิงวิเคราะห์ ว่าการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงวันที่ 14-15 ต.ค. โอกาสที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านทั้งสามฉบับ หรือผ่านบางฉบับหรือจะไม่ผ่านเลย มองว่าจะเป็นอย่างไร "สว.เทวฤทธิ์" ให้ทัศนะว่า ผมคิดว่าหากจะผ่านก็คือ จะผ่านแบบมัดรวมทั้ง 3 ร่างเลย แล้วให้ไปคุยกันต่อในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญเว้นแต่ว่าระหว่างนั้นถ้ามีคนปลุกประเด็นว่า ร่างของพรรคเพื่อไทยกับร่างของพรรคประชาชนเนี่ย ดูแล้วแม้จะใช้วิธีเดินอ้อมไป แต่ว่าก็อ้อมไม่ไกล ยังเป็นการให้ประชาชนเลือกทางตรงอยู่ ดังนั้นอย่าให้ 2 ร่างนี้ไปเลย ถ้าหากผ่านไปแล้วโอกาสที่จะถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญก็เยอะ

...แต่ผมก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่า ต่อให้เป็นร่างแก้ไข รธน.ของพรรคภูมิใจไทยก็ตาม คิดว่าอาจจะมีคนร้องเตะตัดขาอยู่  คือหลายคนเองบอกว่า ไม่กล้าที่จะให้ประชาชนเลือกโดยตรง  เพราะว่ากลัวว่าจะมีคนไปร้อง มันจะทำให้กระบวนการล่าช้า   เมื่อกระบวนการล่าช้า โอกาสที่จะทันคือทำประชามติทันกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นปลายมีนาคมปีหน้า ซึ่งหากไม่ทันงานงอก เพราะว่าการที่จะทำให้ทำพร้อมกันได้ ถ้านายกฯ จะยุบสภาช่วง 30-31 ม.ค. 2569 แล้วต้องเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ที่กรอบเวลาก็จะไปอยู่ในช่วงปลายเดือนมีนาคม  แต่ทีนี้ร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ที่มีการแก้ไขใหม่ ที่ยังไม่ได้มีการโปรดเกล้าฯ ที่ใกล้จะครบ 90 วัน ก็ต้องดูว่า มันก็จะยืดหยุ่นขึ้นก็คือจะ 90-120 วัน ข้อยืดหยุ่นก็คือกว้างขึ้นก็คือ 60-150 วัน สามารถที่จะให้ไปลงประชามติตรงกับวันเลือกตั้งได้ ที่แปลกว่าก่อนที่จะประชุม ครม.วันอังคาร ก่อนที่จะมีการยุบสภา อาจจะเป็นสัปดาห์ก่อนที่จะยุบสภา  อย่างน้อยต้องมีมติแล้ว ซึ่งต้องลุ้นว่าจะทันหรือไม่ ถ้าเกิดมีคนร้องศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมค่อนข้างจะมั่นใจว่าอาจจะมีคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ต่อให้คุณจะเดินอ้อมขนาดไหน

ถามปิดท้ายว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ หากสุดท้ายไม่สำเร็จหรือมีความล่าช้าง มันก็จะไปผิดข้อตกลงเอ็มโอเอการตั้งรัฐบาล จะมีผลทางการเมืองอย่างไร "สว.เทวฤทธิ์" มองว่า คิดว่าคนที่เสียน่าจะเป็นฝ่ายส้มมากกว่า ส่วนน้ำเงินไม่มีอะไรเสีย ผมรู้สึกว่าเขาจะได้ด้วยซ้ำไป ถ้ายิ่งปกป้องเป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งด้านหนึ่งก็ถูกรณรงค์ว่าเป็นฉบับปราบโกง คือที่ผ่านมาดาบอาจจะลงกับฝ่ายที่อาจจะรู้สึกว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอนุรักษนิยมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน  นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร หรือแม้กระทั่งพรรคก้าวไกลที่โดนยุบพรรค ที่ผ่านมามันจะไปลงดาบตรงนั้นมากกว่า ซึ่งคนเดือดร้อน ผมคิดว่าก็คือคนที่เป็นตรงส่วนนั้น ผมยังเห็นว่าคนทั่วไปเองอาจจะรู้สึกว่าแก้ก็ได้ ไม่แก้ก็ได้ แต่คนที่แอ็กทีฟทางการเมือง ที่รู้สึกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังมีความสำคัญและมีความจำเป็นอยู่ ก็รู้สึกว่าหากเขาเป็นแฟนคลับพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาชนอยู่แล้ว เขาก็คงไม่ไปโหวตกับพรรคภูมิใจไทย

"ดังนั้นการที่พรรคภูมิใจไทยจะเป็นหัวหอก ถือธงนำของฝั่งอนุรักษนิยม การเป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ผมคิดว่าได้มากกว่าเสีย หมายถึงว่าถึงที่สุดแล้วต่อให้หักยังไง เขาได้มากกว่าเสีย ส่วนคนที่เสียน่าจะเป็นพรรคประชาชน"

ร่างแก้ไข รธน.ไม่ผ่านเป็นเรื่องแน่  สว.ไม่มีเหตุผลจะไม่รับหลักการ

ด้าน "นาวาตรีวุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะสมาชิกรัฐสภา" ให้ทัศนะในประเด็นเดียวกันนี้ว่า  ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 3 พรรคการเมือง คือ พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยยื่นต่อรัฐสภา มีข้อดีข้อเสียคนละอย่างสองอย่าง อย่างของพรรคภูมิใจไทยที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีบางประเด็นน่าสนใจ เช่น การลดจำนวนเสียงสมาชิกวุฒิสภาในการโหวตเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญลง จากปัจจุบันที่ต้องได้เสียง สว.ไม่น้อยกว่า หนึ่งในสามหรือ  67 เสียง ก็ให้เหลือหนึ่งในห้าของจำนวนสว.คือ 40 เสียง แต่จริงๆ แล้วถ้าให้ดี ก็เอาแค่คะแนนเสียงเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภาสองสภารวมกันคือ ส.ส.กับ สว.  แค่เห็นชอบเกินครึ่งกึ่งก็น่าจะพอเพราะทั้ง 2 สภามาจากประชาชนเหมือนกัน เพียงแต่ว่ามาจากคนละส่วนกัน เพราะการให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสองสภาก็คือประมาณ 350 เสียง ก็ไม่ง่าย

...สำหรับเรื่องที่มาของ ส.ส.ร. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นว่า ไม่ให้ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ก็ต้องแก้ให้มาจากการเลือกทางอ้อม ซึ่งโมเดลการให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกทางอ้อมก็มีหลายแนวความคิด บางพรรคก็เสนอว่ามีสภาที่ปรึกษา หรือว่าเป็นที่ปรึกษาในการร่างรัฐธรรมนูญ และเมื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ก็ส่งกลับมาให้รัฐสภาพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ ในร่างแก้ไข รธน.ของพรรคภูมิใจไทยยังเขียนล็อกไว้อีกว่า ไม่ให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง รธน.ฉบับปัจจุบันในหมวด 1 และหมวด 2 ที่ไม่รู้จะทำได้หรือทำไม่ได้ แต่เป็นหลักการที่ฝ่ายอนุรักษนิยมคงจะชอบ ออกมาแนวประนีประนอมก็คือไม่ได้หักด้ามพร้าด้วยเข่า แต่ฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงก็อาจจะไม่พอใจ ซึ่งสำหรับผมในฐานะที่เป็นสมาชิกรัฐสภา ก็อยากเห็นมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

ส่วนการที่ร่างแก้ไข รธน.ทั้งสามร่างของ 3 พรรคการเมืองมีการเขียนตรงกัน คือเมื่อมีการยกร่าง รธน.ฉบับใหม่โดย ส.ส.ร.เสร็จสิ้นแล้ว ให้ส่งมาให้รัฐสภาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องที่ผมเห็นด้วยเพราะว่าสุดท้าย อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องมาจากประชาชน ซึ่งรัฐสภาก็เป็นตัวแทนของประชาชน แต่การพิจารณาขั้นตอนดังกล่าว จะเป็นรัฐสภาในอนาคต จะเป็นสภาหลังการเลือกตั้ง ซึ่งทุกพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้งก็คงจะไปรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ ตอนหาเสียงเลือกตั้งก็ต้องไปบอกกับประชาชนในเรื่องของรัฐธรรมนูญ เพราะตอนโหวตว่าจะรับหรือไม่รับร่าง รธน.ฉบับใหม่จะเป็นการโหวตโดย สส.ชุดใหม่หลังเลือกตั้ง แต่ สว.ก็คงเป็นชุดเดิมอยู่ แม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าต่อไป สว.จะเป็นยังไงต่อไป

"น.ต.วุฒิพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา" ให้ความเห็นถึงเรื่องที่มาของ ส.ส.ร.ว่า ในความเห็นผมเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีการตอบประเด็นที่มีการส่งเรื่องไป โดยบอกว่าผู้ยกร่าง รธน.ไม่ควรจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ทำให้ต้องมาโดยทางอ้อม  ทางอ้อมคือให้ประชาชนเลือก ในแต่ละจังหวัดเลือกมาโดยมีการเผื่อชื่อไว้ เช่นจังหวัดนี้เลือกได้สองคน ก็ส่งชื่อมาอาจจะสัก 6-10 คน แล้ว 10 คนก็มาคัดเลือกให้เหลือจำนวนตามที่เขียนไว้ อาจจะจังหวัดละหนึ่งคน อันนี้ก็น่าจะทำได้ แล้วก็ให้มีที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น นักรัฐศาสตร์ นักกฎหมายหรือนิติศาสตร์ หรือผู้เคยมีประสบการณ์ในการบริหารราชการ

เมื่อถามว่า จากร่างแก้ไข รธน.ทั้ง 3 ร่างของ 3 พรรคการเมือง คิดว่าในวาระแรกวันที่ 15 ตุลาคม จะผ่านแค่ร่างแก้ไข รธน.ของพรรคภูมิใจไทย หรือว่าจะผ่านทั้ง 3 ร่าง แล้วก็ยึดร่างของพรรคภูมิใจไทยเป็นหลักในการพิจารณาของคณะกมธ.วิสามัญ "น.ต.วุฒิพงษ์ สมาชิกวุฒิสภา" ประเมินว่า ในส่วนของ สส.คิดว่าเขาคงต้องคุยกันให้เรียบร้อยก่อนว่าจะเอาอย่างไร แต่ในส่วนของ สว.ผมว่าเสียงโหวตของ สว.ก็น่าจะถึงเกณฑ์ จนทำให้ร่างแก้ไข รธน.ผ่านความเห็นชอบ แต่ต้องบอกว่าทางภูมิใจไทยเองก็ต้องไปคุยกันให้เรียบร้อยกับสส.ในสภา เพราะมันจะต้องคุยกัน ถ้าไม่คุยกันเนี่ยไม่รู้จะลากกันยังไง

ในความคิดเห็นของผมส่วนตัว ผมว่าร่างแก้ไขรธน.ของพรรคภูมิใจไทยก็น่าสนใจ แต่ขึ้นอยู่กับว่าทางพรรคสีส้มเขาจะโอเคด้วยหรือเปล่า ถ้าโอเคด้วยร่างแก้ไข รธน.ที่จะพิจารณากันก็น่าจะผ่านความเห็นชอบ  เพราะหากไม่ผ่านก็เป็นเรื่องเลย ถึงขั้นอยู่กันไม่ได้ เพราะว่าเป็นข้อตกลงเอ็มโอเอกันไว้ตอนตั้งรัฐบาล ผมเชื่อว่าคงไม่รบราฆ่าฟันขนาดที่ว่าจะไม่รับร่างแก้ไขรธน.อะไรกันเลยสักฉบับ

ส่วนเสียงโหวตของ สว.ในวาระแรก 67 เสียง ดูแล้วเสียงโหวตเห็นชอบน่าจะถึง คือหากยอมกันได้ที่ร่างแก้ไข รธน.ฉบับของพรรคภูมิใจไทย ผมคิดว่าก็น่าจะผ่านได้ ก็น่าจะรู้อยู่ว่าเขาเป็นเสียงของใคร ก็คือผ่านเพื่อให้ได้มีการแก้ไข รธน.เกิดขึ้นก่อน ส่วนเรื่องที่มาของ ส.ส.ร.จะมาแบบไหน จะมาจากการเลือกตั้งจากแต่ละจังหวัดเสร็จแล้ว ก็ส่งชื่อมาให้รัฐสภาโหวตอีกรอบหนึ่ง  อันนี้เป็นรายละเอียด ซึ่งในร่างที่แก้ไข รธน.ที่เสนอเข้ารัฐสภาก็จะมีรายละเอียดอยู่ในร่าง"

ถามถึงกรณีร่างแก้ไข รธน.ของ 3 พรรคการเมือง พบว่า ร่างของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนมีสิ่งที่เหมือนกันคือ  ยังให้ประชาชนเลือกคณะกรรมการยกร่าง รธน.หรือ ส.ส.ร. โดยตรง แล้วจากนั้นรัฐสภาจะมาเลือกในรอบสุดท้าย แต่ร่างแก้ไข รธน.ของภูมิใจไทย ไม่ได้มีให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง คิดว่าหากสุดท้ายที่มาของ ส.ส.ร.เอาตามร่างของภูมิใจไทย จะไม่ตอบโจทย์ที่มีการเรียกร้องให้ ส.ส.ร.มาจากประชาชนหรือไม่ "น.ต.วุฒิพงศ์" มองว่า ตรงนี้อาจจะมีปัญหาในอนาคตเหมือนกัน อาจจะมีการที่เขาเรียกว่าเป็นการล็อก การบล็อกเอาไว้ก่อนล่วงหน้าหรือเปล่าอันนี้ด้วย จะมีการทำซ้ำแบบในอดีต ซึ่งรายละเอียดดังกล่าวต้องมีการอภิปรายโต้เถียงกัน ก็เป็นห่วงเหมือนกันว่าถ้าออกมาเป็นอย่างงั้นจริงๆ มันจะมีการเล่นกลอะไรในสภาหรือไม่ตอนโหวตรอบสุดท้ายเพื่อเลือก ส.ส.ร.ที่รัฐสภา ซึ่งก็ไม่อยากให้เป็นอย่างงั้น เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปบล็อกกัน ควรให้ทำแบบตรงไปตรงมาดีกว่า เพราะว่าประเทศไทยมันเข้าตาจนแล้ววันนี้ รัฐบาลจะมาบริหารประเทศต่อไปในข้างหน้า เราก็ต้องการคนคนดีคนที่ไม่โกง คนที่ไม่มี conflict of interest แต่ว่าก็ต้องการคนที่เขาสามารถใช้อำนาจในการบริหารจัดการประเทศไทยได้เหมือนกัน เพราะการจะให้รัฐบาลอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ต้องไปตลอด มันก็ไม่ไหวเพราะทำให้ไม่สามารถทำงานได้ตลอดต่อเนื่อง อย่างรัฐบาลอนุทินที่อยู่สี่เดือน ถามว่าสี่เดือนจะทำอะไรได้มากหรือไม่ อาจทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เวลามันสั้นเกินไป มันก็เลยไม่ส่งผลในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติ

สำหรับ สว. ถ้าไม่มีอะไรพิสดารก็น่าจะโหวตรับหลักการให้ร่างแก้ไข รธน.ผ่านเช่นเดียวกัน แต่ถ้าไม่ผ่านถามว่า รัฐบาลอยู่ได้หรือไม่ ก็คงอยู่ไม่ได้ คือหากร่างแก้ไข รธน.ไม่ผ่านอยู่ไม่ได้ ลำบาก ซึ่งหากไม่ผ่านเพราะ สว.อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องใหญ่ของ สว.เองด้วย เพราะ สว.เองอย่าง ร่างแก้ไข รธน.ของภูมิใจไทย ก็เขียนล็อกไว้ว่าไม่ให้แตะหมวด 1 หมวด 2 ของ รธน.ฉบับปัจจุบัน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้ร่างแก้ไข รธน.ผ่านวาระแรก

น.ต.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สมาชิกวุฒิสภา

ถามต่อไปว่า เกรงหรือไม่ว่าหากรัฐบาลให้มีการทำประชามติยกเลิก MOU ในวันเดียวกันกับการทำประชามติแก้ไข รธน.และเลือกตั้ง สส. ที่ประชาชนจะได้บัตรสี่ใบ จะทำให้ประชาชนเกิดความสับสนจนส่งผลต่อผลการออกเสียงประชามติรัฐธรรมนูญ "น.ต.วุฒิพงศ์ สมาชิกรัฐสภา" มองประเด็นนี้ว่า ในส่วนของตัวรัฐธรรมนูญผมว่าไม่สับสน แต่ที่สับสนคือเรื่อง MOU เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้เรื่อง MOU เลยว่ามีไว้ทำไม หรือควรจะไม่มีเพราะอะไร สื่อมวลชนยังงงอยู่เลย MOU 43 - MOU 44 รวมถึงถ้าไม่มีมีการยกเลิก จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยและกัมพูชา โดยหากเกิดอะไรขึ้นกับสองประเทศ แล้วถ้าสหประชาชาติหรือศาลโลกเข้ามา

...สิ่งเหล่านี้ประชาชนยังไม่ค่อยเข้าใจ มันจะเกิดปัญหากับการทำประชามติโดยองค์รวมก็ได้ เพราะดันไปทำประชามติโดยเอาเอ็มโอยูเข้ามาด้วย ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความสับสนของประชาชน  อันที่จริงควรต้องมีผลสำรวจหรือผลการศึกษาให้ชัดเจนในเรื่อง MOU ก่อนที่จะไปถามประชาชน เพราะประชาชนจำนวนมากไม่รู้เรื่องเลย MOU จะรู้เรื่องเฉพาะคนที่ศึกษาอย่างรอบคอบแล้ว คุณจะเอาไปถามคนทั้งประเทศ อีกทั้งมันเป็นคนละเรื่อง เมื่อคุณมาเรื่องเอเรื่องบี แล้วเป็นเรื่องกอไก่ขอไข่ ซึ่งมันอยู่คนละหมวดคนละหมู่กัน

ถามย้ำว่า คิดว่าการโหวตรัฐธรรมนูญในส่วนของ สว.ยังเชื่อว่าจะผ่านใช่ไหม และถ้าเกิดไม่ผ่านมันจะเกิดอะไรขึ้น "น.ต.วุฒิพงศ์" ย้ำว่า หากไม่ผ่านวิกฤตแน่ เพราะว่าตกลงกันไว้ตอนตั้งรัฐบาล มีการทำ MOA ให้แก้รัฐธรรมนูญ ที่หากเกิดไม่ผ่านโดยไม่มีเหตุผล ก็เป็นเรื่องนะ คือในส่วนของพรรคการเมืองต่างๆ คิดว่าสุดท้ายจะผ่านให้ แต่อาจมีข้อแม้ว่ากรรมาธิการร่วมแก้ไข รธน.ของรัฐสภาอาจจะมีการดัดแปลงแก้ไขในรายละเอียดบางอย่าง สำหรับ สว.ถ้าไม่มีอะไรพิสดารก็น่าจะโหวตรับหลักการให้ร่างแก้ไข รธน.ผ่านเช่นเดียวกัน แต่ถ้าไม่ผ่านถามว่ารัฐบาลอยู่ได้หรือไม่ ก็คงอยู่ไม่ได้ คือหากร่างแก้ไข รธน.ไม่ผ่านอยู่ไม่ได้ ลำบาก ซึ่งหากไม่ผ่านเพราะ สว.อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องใหญ่ของ สว.เองด้วย เพราะ สว.เองอย่างร่างแก้ไข รธน.ของภูมิใจไทยก็เขียนล็อกไว้ว่า ไม่ให้แตะหมวด 1 หมวด 2 ของ รธน.ฉบับปัจจุบัน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้ร่างแก้ไข รธน.ผ่านวาระแรก.

โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน

'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.

รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'

นายกฯ ประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล 'ร.9'

นายกฯ เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ 'ในหลวง ร.9' วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค. 2568

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ