รักชาติ ชังชาติ (ตอนจบ)

 

คราวที่แล้วได้กล่าวถึง “คนไทยผสม” ในพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งหมายถึง คนจีนในไทยที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นคนไทยหรือจีนกันแน่  และผมได้กล่าวไว้ว่า “คนจีนที่อยากเป็นไทยนั้น เมื่อเป็นไม่สำเร็จ ความขมขื่นในใจเขาอาจทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยา ‘ชังชาติไทย’ ขึ้นมาได้ และหากความเป็นชาติไทยนั้นผูกโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าด้วยแล้ว ก็พาลจะพลอยชิงชัง ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ และผู้คนที่อยู่รายรอบหรือเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไปด้วย แต่ครั้นคนเหล่านี้จะกลับไปจีนก็ไม่ได้เสียแล้ว เรื่องมันก็เลยอิหลักอิเหลื่อ แต่คนเหล่านี้จะมีความสุขสงบใจได้ก็ต่อเมื่อเขาสามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำลายสิ่งที่เขาชิงชังนั่นเอง และส่วนหนึ่งของการทำลายคติเหล่านี้ก็คือ การสมาทานแนวคิดเสรีนิยมอย่างสุดโต่ง เพราะจริงๆแล้ว ลึกๆ แก่นของเสรีนิยมไม่สามารถอยู่กับชาติหรือชาตินิยมได้”

ปัญหาข้างต้นไม่ได้เกิดเฉพาะกับคนจีนในไทยเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดกับคนเชื้อชาติอื่นในไทยได้เช่นกัน  และรวมทั้งคนท้องถิ่นที่ถูกกดทับจากกระบวนการสร้างรัฐชาติด้วย และไม่เพียงแต่เฉพาะเชื้อชาติ ยังรวมไปถึงผู้ที่นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่พุทธ

ปัญหาดังกล่าวนี้เกิดจากการที่คนเชื้อชาติอื่นหรือศาสนาอื่นอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่สร้างความแปลกแยกให้กับตัวพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียนหรือเหยียดรังเกียจหรือมองว่าไม่ใช่ “คนไทย”  ดังนั้น ในมุมกลับ หากสังคมไทยโดยรวมไม่มีอคติต่อพวกเขาในฐานะที่เป็น “คนอื่น”  ปัญหาก็จะไม่มีหรือมีน้อย และก็จะไม่เกิดการเที่ยวไปตีตราคนเหล่านี้ว่าเป็น “พวกชังชาติ”   เพราะการไปตีตราว่าพวกเขาเป็นพวก “ชังชาติ” มันเกิดจากการสร้างและผูกขาด “ความเป็นชาติหรือความรักชาติ” ที่จะต้องมีเงื่อนไขเฉพาะ

ที่จริง นักวิชาการฝรั่งที่ศึกษาสังคมไทยชอบที่จะกล่าวว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่สร้างความผสมกลมกลืนได้เป็นอย่างดี  ซึ่งการที่กล่าวเช่นนี้ น่าจะเกิดจากการเปรียบเทียบกับสังคมอื่นๆด้วย

ที่จริง ในปัจจุบัน ปัญหาเรื่องรักชาติ ชังชาติ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของเชื้อชาติเท่ากับเรื่องจุดยืนแนวคิดที่มีต่อสังคมการเมือง   และการที่พวกที่ถูกกล่าวหาว่า “ชังชาติ” นั้น จริงๆแล้ว พวกเขาน่าจะรักชาติมากกว่า เพราะพวกเขาออกมารณรงค์ต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมจากที่พวกเขาคิดว่า “ไม่ดีไปสู่สิ่งที่ดีกว่า”  การที่ออกมารณรงค์  ก็เพราะน่าจะมีความเป็นห่วงเป็นใยชาติบ้านเมือง ซึ่งก็น่าจะดีกว่าคนที่ไม่ใส่ใจอะไร วันๆเอาแต่ทำมาหากินตักตวงผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยไปเรื่อยๆ                     

แต่แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงย่อมจะต้องทำให้บางสิ่งบางอย่างหายไป  และบางสิ่งบางอย่างที่หายไปหรือเปลี่ยนไปนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่คนอีกพวกหนึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามที่ต้องรักษาไว้ !

อ้าว !  แล้วทีนี้จะทำยังไง เมื่อเห็นต่างกันในเรื่องว่าอะไรดีไม่ดี ?

มันเลยเป็นที่มาของการไปด่าว่า พวกที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าดีต้องรักษาไว้ว่าเป็นพวก “ชังชาติ”  เพราะสิ่งที่จะต้องถูกเปลี่ยนไปนั้นฝ่ายที่ต้องรักษาเชื่อว่ามันคือ “ความเป็นชาติ”

ส่วนพวกที่ถูกหาว่าเป็น “พวกชังชาติ” ก็ตอบโต้กลับว่า ไม่ได้ชังชาติ แต่ “ชังพวกแกที่ผูกขาดเนื้อหาความเป็นชาติและวิธีการรักชาติ” ไว้แต่ผู้เดียว

ผมเห็นว่า “พวกรักชาติ” น่าจะทำความเข้าใจว่า  คนที่พวกท่านไปกล่าวหาว่าชังชาตินั้น จริงๆแล้วพวกเขาก็ “รักชาติ” ไม่แพ้พวกท่าน  แต่เห็นต่างกัน สิ่งที่ผมอยากเห็นก็คือ การจัดนัดคุยกันแบบไม่ต้องเปิดสาธารณะให้มีกองเชียร์ ให้ต้องรักษาหน้าตากันและกันต่อหน้ากองเชียร์         

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าชังชาติ ซึ่งจริงๆก็รักชาติไม่แพ้กัน ก็ควรจะเข้าใจว่า สิ่งที่พวกตนต้องการจะเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่คนอีกกลุ่มหนึ่งเขาต้องการรักษาและเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ  ก็ควรจะเคารพความเชื่อของพวกเขาไว้บ้าง  ไม่ได้ให้ท่านต้องไปเคารพในสิ่งที่ท่านไม่เชื่อ แต่ถ้าเป็นเสรีนิยมและพหุนิยมจริงๆ ก็ต้องเคารพสิ่งที่คนอื่นเขารักเขาเชื่อด้วย

วลีที่ว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่”  นี่มีสองความหมาย  ความหมายแรกคือ ถ้าไม่เชื่อ อย่าไปลบหลู่ เพราะสิ่งที่ท่านไม่เชื่อ อาจจะมีพลังอิทธิฤทธิ์จริงๆก็ได้ เพราะยากที่จะพิสูจน์ได้แน่นอนว่าศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์

ความหมายที่สองนี่ไม่เกี่ยวกับว่าศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์  แต่มันเป็นเรื่องของการเคารพในความคิดความเห็นความเชื่อของคนอื่นตามหลักการสิทธิเสรีภาพอันเสมอภาคกันของมนุษย์ คุณไม่มีสิทธิ์ไปด่าเขาว่าโง่ งมงาย ไดโนเสาร์เต่าล้านปี  ถ้าหากเขาจะเชื่อในสิ่งที่เขาอยากจะเชื่อ   

ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาเชื่อ คุณต้องไม่ลบหลู่ แต่คุณสามารถชวนคุยอย่างมีเหตุมีผล ค่อยๆตั้งคำถามกับเขาอย่างสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่จะมีการสื่อสารสนทนาแลกเปลี่ยนกันและกัน

ขณะเดียวกัน เมื่อฝ่ายที่เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณเชื่อมาคุยด้วยดีๆ  คุณก็ควรจะใจกว้างเปิดรับฟังความคิดเหตุผลของเขา ไม่ใช่ว่า ใครมาตั้งคำถามดีๆกับสิ่งที่คุณเชื่อ คุณก็ประณามทันทีว่าเป็นพวก “ชังชาติ”

ดังนั้น ผมว่า เราควรจะเลิกวาทกรรม “ชังชาติ” และอื่นๆได้แล้ว  เพราะคนที่ออกมาแข็งขันทางการเมืองก็ล้วนแต่ “รักชาติ” ทั้งสิ้น ยกเว้นพวกที่จะให้ประเทศตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติไปเลย อันนั้นก็ชัดอยู่                   

ผมเห็นว่า มีสิ่งต่างๆที่สมควรต้องเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนในประเทศไทย นั่นคือ ความไร้ระเบียบ มักง่าย ไม่เคารพกฎหมาย  หรือทำผิดแล้วไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่เห็นอยู่ทุกวันคือ รถไม่จอดให้คนข้ามทางม้าลาย และคนข้ามก็ไม่ต่อสู้เพื่อสิทธิ์ในการข้ามตามกฎหมาย   ซึ่งผมเชื่อว่า พวกรักชาติทุกฝ่ายน่าจะเห็นพ้องต้องกันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรรักษาไว้ ก่อนที่จะไปขัดแย้งกันเรื่องใหญ่เรื่องโต !

(เผยแพร่ครั้งแรก โพสต์ทูเดย์ วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2563)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 9)

รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490

'ธนกร' เชื่อครม.ใหม่เดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนทันที ปัญหาประเทศรอไม่ได้

นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนเชื่อว่า รัฐมนตรีทุกคนมีศักยภาพและประสบการณ์ในการทำงาน

'อุ๊งอิ๊ง' ดูไว้! นักการเมืองต้องรักษาสัจจะเหมือน 'อภิสิทธิ์' เคยหาเสียงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์

เมื่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวในงานอีเวนต์ ”10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10“ ว่า พรรคเพื่อไทยตัดสินใจถูกตั้งรัฐบาลผสม

'จักรพงษ์' ปัดเลื่อนชั้นขึ้นนั่ง รมต. จากสายตรงเศรษฐา ยันไร้ปัญหากับปานปรีย์

นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเข้าถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวถึงกรณีที่ถูกมองว่าเป็นการพาร์ทชั้นจากเดิมที่อยู่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ไม่ได้พาร์ทชั้นหรอก

'สุชาติ' ลั่นทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ซีเรียสเป็น รมช.พาณิชย์

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ ถึงการได้กลับเข้าทำเนียบรัฐบาลในรอบ 7 เดือน ว่า ได้กลับเข้ามาทำงานให้ประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนเดิม

ทำเนียบคึกคัก! รัฐมนตรีใหม่ถ่ายภาพทำบัตร ก่อนเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯ

รัฐมนตรีใหม่ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ได้เดินทางเข้าทำเนียบฯเพื่อถ่ายภาพทำประวัติ และทำบัตรประจำตัวรัฐมนตรี ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคั