จับตาแผนดูแลราคาพลังงาน

สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานผ่านไปกว่า 3 สัปดาห์แล้ว และแม้ว่าบรรยากาศการสู้รบจะยังเกิดขึ้นต่อเนื่องระหว่างสองชาติ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีการเปิดทางเจรจากันเพื่อยุติการใช้กำลัง

แต่ในเมื่อยังไม่มีข้อสรุปชัด ก็ยังคงส่งผลไปยังเรื่องของราคาพลังงานและต้นทุนสินค้าบางอย่างที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และวิกฤตนี้ถือเป็นวิกฤตระดับโลก อีกทั้งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

อย่างประเด็นเรื่องของราคาพลังงาน ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักของการประกอบธุรกิจ เมื่อราคาพลังงานแพงก็กระทบไปยังราคาสินค้าต่างๆ อีกเพียบ และถึงแม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะพยายามรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้แพงเกิน 30 บาท ซึ่งมีทั้งการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และการใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ เข้าไปดูแล แต่แนวทางดังกล่าวก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องการอุ้มราคาน้ำมันที่ทำให้ขณะนี้ กองทุนน้ำมันฯ มีภาระติดลบ 23,986 ล้านบาท

ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มี.ค.2565 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องของการแก้ปัญหาราคาพลังงาน ซึ่งนายกฯ ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลพยายามที่จะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 ต่อลิตรไปก่อน ขณะที่ราคาจริงของน้ำมันดีเซลยังสูงกว่าที่รัฐบาลตรึงราคาไว้

"ที่ผ่านมาได้ใช้งบประมาณจากกองทุนพลังงานมาช่วยดูแลเรื่องนี้ซึ่งก็ติดลบอยู่ในปัจจุบัน จึงต้องหาเงินในส่วนอื่นเข้ามาเติมในส่วนนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องพิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องใกล้ชิดเพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสมต่อไป"

อย่างไรก็ดี ก็อาจมีการพิจารณามาตรการอื่นเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย โดยกำลังมีการพิจารณาช่วยเหลือเบื้องต้นผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งการบรรเทาผลกระทบราคาก๊าซหุงต้ม LPG ให้กับกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การช่วยเหลือค่าก๊าซหุงต้ม LPG สำหรับกลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง การดูแลช่วยเหลือค่าไฟฟ้า การช่วยราคาน้ำมันเบนซินสำหรับกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้าง

พร้อมทั้งจะขอความร่วมมือผู้ค้า NGV ช่วยตรึงราคาก๊าซ NGV ในช่วงวิกฤตพลังงานไปก่อน พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้เกิดความเป็นธรรม 

ด้าน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการราคาพลังงาน ก็กำลังปรับแผนการช่วยเหลือที่จะต้องลดภาระที่่ทางกองทุนต้องแบกรับมากเกินไป

เบื้องต้นกำลังหารือกับกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางแยกการอุดหนุนน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียมหรือเอ็กซ์ตร้าที่ใช้ในกลุ่มผู้ใช้รถราคาแพงออกจากการอุดหนุนราคาดีเซลพื้นฐาน (ปัจจุบันคือ B5) เป็นน้ำมันพื้นฐานที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่งและภาคเกษตร ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายตรึงราคาไว้ไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร เพราะมองว่ากลุ่มที่ใช้น้ำมันประเภทนี้จะเป็นคนที่มีฐานะและดูแลตัวเองได้

รวมถึงยังมีแผนสำรองหากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเปลี่ยนแปลงผันผวนอยู่ในระดับสูงอีก  อาจจะต้องใช้กลไกของการใช้งบกลาง จากรัฐบาลและ ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงอีก

 และถึงที่สุดถ้าไม่ไหวก็อาจจะต้องยอมลดแผนการช่วยเหลือ โดยจะปล่อยให้ราคาน้ำมันดีเซลมีการปรับขึ้นในระดับที่ไม่กระชากมากเกินไปจนเกิดภาวะตื่นตระหนก เช่น ดีเซลราคาไม่เกิน 30 บาท/ลิตร อาจปรับขึ้น 50 สตางค์/ลิตร เป็น 30.50 บาท/ลิตร หรือการปรับเป็นสเต็ป

จากนี้คงต้องจับตาการบริหารจัดการของภาครัฐว่าจะรับมือกับสถานการณ์ราคาพลังงานนี้อย่างไร.

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จับตาบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง

ช่วงนี้หลายคนกำลังสงสัยว่าเพราะเหตุใดค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าเอา อ่อนค่าเอา ตอนนี้ราคาหลุดทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว แม้จะมีการแกว่งตัวแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า

Digital Walletกระตุ้นค้าปลีกไม่แรง

“โครงการ Digital Wallet” เรียกว่ามีความชัดเจนจากฝั่งรัฐบาลพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไขทั้งในส่วนของประชาชนและร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการ รวมไปถึงแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความชัดเจนในส่วนนี้ก็ยังมีการตั้งคำถาม ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเร่งหาวิธีการเพื่อพิสูจน์ความชัดเจน และเดินหน้าโครงการตามขั้นตอนและวิธีการภายใต้กรอบของกฎหมายที่ได้ยืนยันมาโดยตลอด

อัปเกรดอุตฯเหล็กรับมาตรการCBAM

การเดินหน้ามาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) นั้น ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวอย่างมากของกลุ่มผู้ผลิต

'หนี้ครัวเรือน'แนวโน้มชะลอแต่สัดส่วนยังสูง

“หนี้ครัวเรือน” เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตา โดยจากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่ระบุว่า ภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท

เศรษฐกิจไทยจะไปทางไหนต่อ

ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยเวลานี้เหมือนคนป่วยโรคเรื้อรัง ที่อาการแค่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่รักษายังไม่หายขาด ส่งผลให้การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ยังคงติดๆ ขัดๆ นับตั้งแต่ผ่านพ้นจากวิกฤตโควิดมากว่า 2 ปี

ไทยจะเป็นฮับเอทานอล

ประเทศไทยหลังจากที่ผลัดเปลี่ยนรัฐบาลชุดนี้ ก็ตั้งเป้าการทำงานที่หลากหลายและแปลกตามากขึ้น แน่นอนว่าหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล