กฎหมายของสหรัฐฯ ที่ให้ยูเครน “ยืม-เช่า” อาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อทำสงครามกับรัสเซียมีจุดเริ่มต้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
หลักใหญ่ใจความของกฎหมายฉบับนี้บอกว่า การส่งความช่วยเหลือไปให้กับประเทศพันธมิตร "มีความสำคัญต่อการป้องกันประเทศสหรัฐอเมริกา"
ภายใต้นโยบายนี้ สหรัฐฯ สามารถให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่พันธมิตรต่างประเทศของตนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่เพราะสหรัฐฯ ขณะนั้นยังมีกฎหมายที่กำหนดให้รัฐบาลอเมริการักษา “ความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด”
ภายใต้กฎหมาย Neutrality Act
เพราะประชาชนคนอเมริกันและสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้สหรัฐฯ เข้าไปพัวพันกับสงครามในยุโรป
กฎหมายห้ามการขายอาวุธ, ห้ามส่งอาวุธและห้ามส่งทหารไปร่วมรบในต่างประเทศ
ในทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คนอเมริกันเข็ดจากการเข้าร่วมสงคราม เพราะต้องสูญเสียทั้งคนและทรัพย์สิน
นักการเมืองอเมริกันในช่วงนั้นถือว่าอเมริกาเป็นทวีปที่แยกออกจากยุโรป ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเข้าไปร่วมในความขัดแย้งที่ทำให้ต้องเสียเลือดเนื้อและทรัพยากรของชาติ
สภาคองเกรสออกกฎหมายความเป็นกลางหลายฉบับ เช่น ในปี 1935, 1936 และ 1937
มีเนื้อหาห้ามสหรัฐฯ ขายหรือขนส่งอาวุธหรือวัสดุสงครามใดๆ ให้กับประเทศที่ทำสงครามอยู่ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุกหรือฝ่ายตั้งรับ
แต่หลังจากเยอรมนีบุกเข้ายึดครองโปแลนด์ในปี 1939 และเกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้นอีกครั้งในยุโรป ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ประกาศว่า แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นกลางตามกฎหมาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ “ที่ชาวอเมริกันทุกคนยังคงมีความคิดเป็นกลางอยู่เหมือนเดิม”
ยิ่งเมื่อเป็นที่ชัดเจนว่าเยอรมันนี, ญี่ปุ่นและอิตาลีเริ่มบุกหนัก
ในปี 1939 รูสเวลต์พยายามน้าวโน้มเกลี้ยกล่อมรัฐสภาให้อนุญาตให้ขายเสบียงทางการทหารแก่พันธมิตร เช่น ฝรั่งเศสและอังกฤษด้วย "เงินสดและขนไปเอง" (Cash and Carry)
พวกเขาต้องจ่ายเงินสดสำหรับเสบียงทางทหารที่ผลิตในอเมริกาแล้วจัดการขนส่งไปเองโดยต้องไม่ใช้เรือของสหรัฐฯ
ข้อเสนอแก้ไขกฎหมายเช่นนี้เป็นที่ชัดเจนว่าจะเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษและฝรั่งเศส
แรกๆ ที่รูสเวลต์เสนอแก้ไขกฎหมายนี้ไปที่รัฐสภาไม่เป็นผล
แต่พอรัสเซียบุกโปแลนด์ในเดือนกันยายน ปี 1939 รัฐสภาสหรัฐฯ ก็ยอมแก้ไขกฎหมายโดยอนุญาตให้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกันได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขจ่ายเงินสดและจัดการขนส่งไปเองโดยไม่ใช้เรืออเมริกัน
ถือเป็นก้าวแรกของการผันนโยบายสหรัฐฯ ออกจาก “นโยบายโดดเดี่ยวตัวเอง” จากสงคราม
พอถึงฤดูร้อนปี 1940 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อพวกนาซี และสหราชอาณาจักรต้องสู้กับเยอรมนีเพียงลำพังบนบก ในทะเล และทางอากาศ
วินสตัน เชอร์ชิลล์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ อังกฤษ เริ่มจะเห็นว่าถ้าสหรัฐฯ ไม่มาช่วยคงจะต่อกรกับฮิตเลอร์ไม่ไหว
เชอร์ชิลล์ขอร้องรูสเวลต์เป็นการส่วนตัวครั้งแล้วครั้งเล่าให้ส่งความช่วยเหลือทางทหารมาให้อังกฤษ
หาไม่แล้วฮิตเลอร์จะยึดยุโรปทั้งหมด และสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับกองทัพอันเกรียงไกรไร้เทียมทานของเยอรมนีแน่นอน
นั่นคือจังหวะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตกลงที่จะแลกเปลี่ยนเรือพิฆาตอเมริกันเก่าๆ 50 ลำ เพื่อเช่าฐานทัพอังกฤษในทะเลแคริบเบียนและนิวฟันด์แลนด์เป็นเวลา 99 ปี
พอถึงเดือนธันวาคมนั้น เงินสำรองของอังกฤษและทองคำค่อยๆ ลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว เพราะต้องทำสงครามอย่างดุเดือดกับฮิตเลอร์
เชอร์ชิลล์เตือนรูสเวลต์ว่าอังกฤษกำลังถังแตก ไม่สามารถจ่ายเงินสดสำหรับเสบียงทหารหรือค่าขนส่งอีกต่อไป
แม้ว่าเขาจะชนะเลือกตั้งด้วยการหาเสียงว่าจะพยายามไม่ให้สหรัฐฯ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามนอกบ้าน แต่รูสเวลต์ต้องการสนับสนุนสหราชอาณาจักรในการต่อต้านเยอรมนี
วันที่ 7 ธันวาคม 1940 เชอร์ชิลล์เขียนจดหมาย 15 หน้าถึงรูสเวลต์ร่ายยาวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยื่นมือมาช่วยอังกฤษแล้ว...ก่อนที่จะสายเกินไป
หลังจากได้ยินคำร้องขอทำนองอุทธรณ์ของเชอร์ชิลล์ ผู้นำสหรัฐฯ ก็เริ่มทำทุกอย่างเพื่อโน้มน้าวสภาคองเกรส (และประชาชนชาวอเมริกัน) ว่าการให้ความช่วยเหลือโดยตรงแก่สหราชอาณาจักรมากขึ้นนั้นเป็นผลประโยชน์โดยตรงของสหรัฐฯ เอง
เพราะถ้าไม่ช่วยอังกฤษรบวันนั้นก็ต้องเจอภัยคุกคามจากเยอรมนีในวันต่อมาอยู่ดี
ถึงกลางเดือนธันวาคม 1940 รูสเวลต์เริ่มใช้นโยบายใหม่ โดยที่สหรัฐอเมริกาจะ “ให้ยืม-แทนการขาย” เสบียงทางการทหารให้กับอังกฤษเพื่อใช้ในการต่อสู้กับเยอรมนี
และเพื่อเป็นการช่วยให้อังกฤษยังมีลมหายใจทางการเงิน สหรัฐฯ ได้เลื่อนการชำระเงินสำหรับวัสดุสงครามที่ซื้อไปก่อนหน้านั้น
“เราต้องเป็นคลังแสงที่ยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตย” รูสเวลต์ประกาศในรายการวิทยุ “การสนทนาข้างกองไฟ” (Fireside Chat) อันเลื่องลือของเขา
ประโยคประวัติศาสตร์นั้นถูกกล่าวผ่านรายการวิทยุ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 1940
“สำหรับเรา นี่เป็นเหตุฉุกเฉินที่ร้ายแรงพอๆ กับสงคราม เราต้องร่วมกันสานภารกิจนี้ด้วยปณิธานเดียวกัน ความเร่งด่วนแบบเดียวกัน จิตวิญญาณแห่งความรักชาติและการเสียสละแบบเดียวกับที่เราจะแสดงเมื่อเราอยู่ในภาวะสงคราม”
ประธานาธิบดีรูสเวลต์ลงนามในกฎหมาย Lend-Lease Act เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1941
ภายในสิ้นปี 1941 นโยบายการให้ยืม-เช่าขยายให้ครอบคลุมพันธมิตรอื่นๆ ของสหรัฐฯ รวมถึงจีนและสหภาพโซเวียต
เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ ได้ใช้กฎหมายฉบับนี้มอบเงินช่วยเหลือทั้งหมดประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กับกว่า 30 ประเทศทั่วโลก
แต่วันนั้นไม่มีใครคิดว่าสักวันหนึ่งหลังสงครามโลกสิ้นสุดแล้ว 77 ปี สหรัฐฯ จะต้องปัดฝุ่นเอากฎหมายฉบับนี้มาใช้เพื่อปกป้องอธิปไตยของยุโรปอีกครั้งหนึ่ง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


