“การทูตสไตล์โจโกวี” แห่งอินโดนีเซียต้องเรียกว่า “มาเหนือเมฆ” เลยทีเดียว
เพราะประธานาธิบดีโจโก วิโดโด กลายเป็นผู้นำเอเชียคนแรกที่พบผู้นำของรัสเซียและยูเครนเพื่อเสนอตัวเป็น “คนกลาง” ให้คู่กรณีสงครามยูเครนสามารถ “สื่อสารกันและกัน” เพื่อนำไปสู่การเจรจาสันติภาพ
ส่วนจะได้ผลในทางปฏิบัติมากน้อยแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับว่าผู้นำของประเทศในอาเซียนคนนี้ได้แสดงบทบาทในเวทีระหว่างประเทศอย่างโดดเด่น
เกินความคาดหมายของหลายๆ ประเทศในยุโรปด้วยซ้ำ
เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นว่าทั้งปูตินและเซเลนสกีเห็นอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ “เป็นกลาง” พอสมควร
ไม่เหมือนกับผู้นำยุโรปหลายชาติที่บินไปทั้งกรุงเคียฟและมอสโกเพื่อทำหน้าที่เป็น “กาวใจ” เหมือนกัน
แต่ส่วนใหญ่ถูกมองว่ามี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” อยู่ในที
ไม่อาจจะเป็น Honest Broker หรือ “คนกลางผู้ซื่อสัตย์” (ที่ไร้วาระซ่อนเร้น) ได้
ดังนั้นพอโจโกวีเสนอตัวไปพบผู้นำคู่กรณีสงครามด้วยตัวเอง จึงได้รับการต้อนรับจากทั้ง 2 ฝ่ายอย่างค่อนข้างจะอบอุ่นและเป็นกันเอง
แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของโจโกวีก็เพื่อจะ “คานอำนาจ” ของตะวันตกที่กดดันไม่ให้อินโดฯ เชิญปูตินไปร่วมประชุมสุดยอดของ G-20 ที่จะจัดขึ้นที่เกาะบาหลีในเดือนพฤศจิกายน (ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนหน้าประชุมสุดยอด APEC ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพเพียงไม่กี่วัน)
โจโกวีเห็นช่วงเวลาของการประชุมสุดยอด G-7 ที่เยอรมันนีในจังหวะเดียวกันเมื่อสัปดาห์ก่อน
จึงถือโอกาสบินพบปะกับผู้นำตะวันตกที่นั่นก่อนที่จะบินไปกรุงเคียฟและมอสโก
เป็นทำนอง “ขอปรึกษาหารือ” กับทางตะวันตกก่อนว่าเขาจะไปเจอผู้นำยูเครนและรัสเซียเพื่อพูดเรื่องที่จะให้ปล่อยเรือสินค้าเพื่อส่งมอบธัญพืช, ปุ๋ยและวัตุดิบอื่นๆ ไปยังประเทศต่างๆ ที่กำลังเดือดร้อนเพราะสงครามได้อย่างไร
ผลจากการพบปะนั้นผู้นำอินโดฯ บอกว่าได้รับคำมั่นจากปูตินที่จะเปิดเส้นทางเดินเรือ และอนุญาตส่งออกอาหารและปุ๋ยจากยูเครน
โดยที่ผู้นำรัสเซียยืนยันว่าเขาก็ต้องการจะบรรเทาวิกฤตอาหารโลกเช่นกัน
และชี้นิ้วกล่าวโทษไปที่ประเทศตะวันตกที่สร้างวิกฤตเรื่องนี้ เพราะรวมหัวกันคว่ำบาตรรัสเซีย
โจโกวีเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนยูเครนและรัสเซียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยแสดงความคาดหวังว่าจะมีความคืบหน้าในการผ่อนคลายปัญหาการส่งออกอาหารและปุ๋ยของยูเครนและรัสเซียไปสู่ตลาดโลก
เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตของห่วงโซอุปทาน หรือ supply chain ระดับโลกอันเกิดจากสงครามยูเครน
โจโกวีไม่เพียงแต่เน้นเรื่องวิกฤตอาหารที่กระทบประเทศยากไร้ที่มีประชากรร่วมกันกว่า 2 พันล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามเท่านั้น
แต่ยังเสนอตนที่พร้อมจะสวมบทบาทเป็นสะพานทางการทูต เชื่อมระหว่างรัสเซียและยูเครนอีกด้วย
เพราะเขาเผยว่าได้นำเอา “สาร” จากเซเลนสกีมาฝากปูติน
แต่ไม่เปิดเผยว่าข้อความคืออะไร และเมื่อปูตินได้รับสารนั้นแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร
หลังการพบปะหารือแล้ว โจโกวีก็ยืนแถลงข่าวร่วมกับปูตินที่กรุงมอสโก
ผู้นำอินโดฯ แสดงความขอบคุณผู้นำรัสเซียที่ยอมให้มีการเปิดเส้นทางเดินเรือ เปิดทางให้มีการส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ซึ่งรวมถึงข้าวสาลีและธัญพืช กับปุ๋ยจากยูเครนและรัสเซีย
ผู้นำอินโดฯ บอกว่า “ผมรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่ประธานาธิบดีปูตินกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ท่านจะรับประกันความปลอดภัยสำหรับเสบียงอาหารและปุ๋ยที่จัดส่งจากทั้งรัสเซียและยูเครน นี่ถือว่าเป็นข่าวดีของมนุษยชาติ นอกจากนี้ผมยังสนับสนุนความพยายามของสหประชาชาติในการฟื้นฟูการจัดส่งสินค้าอาหารและปุ๋ยของรัสเซียและสินค้าอาหารยูเครน กลับคืนสู่ห่วงโซ่อุปทานของโลกอีกครั้ง”
ปูตินซึ่งยืนแถลงข่าวเคียงคู่กับโจโกวียืนยันถ้อยคำของโจโกวี แต่ไม่ระบุรายละเอียดว่าจะสามารถเปิดทางให้มีการส่งอาหารและปุ๋ยออกจากท่าเรือทางใต้ของยูเครนที่กองกำลังรัสเซียปิดล้อมทางทะเลได้เมื่อไหร่
ปูตินย้ำว่าปัญหานี้ยูเครนต้องแก้ไข เพราะกองทัพยูเครนได้วางทุ่นระเบิดตรงทางเข้าท่าเรือของตัวเอง
ผู้นำรัสเซียบอกว่ายูเครนยังไม่ยอมเข้าเคลียร์ทุ่นระเบิด แม้ว่ามอสโกจะรับประกันความปลอดภัยในการขนส่งธัญพืชออกจากที่นั่นแล้วก็ตาม
ยูเครนอ้างว่าถ้าหากมีการเคลียร์ทุ่นระเบิด ทหารรัสเซียก็จะถือโอกาสโจมตีเป้าหมายทางทหารของยูเครนอีกรอบ
นั่นย่อมแปลว่าแม้โจโกวีจะได้รับคำยืนยันจากปูติน แต่ในทางปฏิบัติคำมั่นสัญญานั่นจะเกิดเมื่อไหร่ก็ไม่สามารถจะบอกได้
ผู้นำอินโดนีเซียเป็นประธานกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ G-20 ของปีนี้ซึ่งมีรัสเซียรวมอยู่ในประเทศสมาชิกด้วย
ตะวันตกขับไล่รัสเซียออกจากกลุ่ม G-8 เดิมหลังเกิดการผนวกแหลมไครเมียจากยูเครนกลับเป็นของรัสเซียเมื่อปี 2014
จาก G-8 กลายเป็น G-7 ทุกวันนี้
เดือนเมษายนที่ผ่านมา องค์การสหประชาชาติได้แต่งตั้งโจโกวีเขาให้เป็น 1 ใน 6 ผู้นำ ‘กลุ่มรับมือวิกฤตการณ์โลก’ (Global Crisis Response Group)
เป็นกลุ่มที่ได้รับภารกิจรับมือกับภัยคุกคามจากความอดอยากหิวโหยทั่วโลกอันเกิดจากภาวะสงครามในยูเครน
โจโกวีบอกว่าเขาได้เรียกร้องผู้นำกลุ่ม G-7 ในระหว่างการประชุมที่เยอรมนีเมื่อสัปดาห์ก่อน สร้างความมั่นใจว่าการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารและปุ๋ย
แต่นั่นแหละ ก็ไม่มีใครไม่ว่าจะเป็นฝ่าย G-7 หรือรัสเซียที่จะยืนยันได้ว่าสงครามยูเครนจะเบาบางลงเพื่อเปิดทางให้ยูเครนสามารถส่งอาหารและวัตถุดิบไปยังตลาดทั่วโลกได้เมื่อใด
ภารกิจด้านการทูตของผู้นำอินโดนีเซียจึงเป็นบทใหม่ของการเมืองระหว่างประเทศที่น่าวิเคราะห์ต่อไป
เพราะเป็นการตอกย้ำว่าคำว่า “ภูมิรัฐศาสตร์” หรือ Geopolitics นั้นสามารถมองข้ามทวีป...จากอาเซียนไปสู่สงครามยูเครนได้เช่นกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


