
หากข้อตกลงหลักในการแบ่งโลกใบนี้ออกเป็น 2 เขตอิทธิพลระหว่างสเปนและโปรตุเกสตาม “สนธิสัญญาตอร์เดซิยาส ค.ศ.1494” ได้รับการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด บราซิลจะมีพื้นน้อยกว่าในปัจจุบันถึงเกือบ 5 เท่า
เส้นแวงที่เรียกว่าเส้นลีก นับไป 370 ลีกทางทิศตะวันตกของเกาะเคปเวิร์ดในมหาสมุทรแอตแลนติก คือเส้นแบ่งดังกล่าว หากเทียบในปัจจุบันก็จะอยู่ที่ราวๆ เส้นลองติจูด 46 องศา 30 ลิปดาตะวันตก ทุกตารางนิ้วในโลกที่ไม่ใช่ยุโรปและไม่ใช่ดินแดนชาวคริสต์ ด้านตะวันของเส้นนี้กวาดยาวไปจนสุดขอบโลกเป็นของสเปน ตะวันออกของเส้นนี้เป็นของโปรตุเกส
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ภายใต้สังกัดสเปนล่องเรือพบหมู่เกาะเวสต์อินดีส หรือโลกใหม่ทวีปอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.1492 กลับสู่สเปนเมื่อปี ค.ศ.1493 โป๊ปสมัยนั้นซึ่งเป็นชาวสเปนออกบัญญัติ Papal Bull แบ่งโลกกันที่ระยะ 100 ลีกไปทางตะวันตกของเกาะเคปเวิร์ด สเปนกะกินรวบอเมริกาทั้งทวีป ส่วนแอฟริกาก็ให้โปรตุเกสไป พอมาเลื่อนไปที่เส้น 370 ตามสนธิสัญญาตอร์เดซิยาสในอีก 1 ปีต่อมาก็ยังคิดว่าได้อเมริกาทั้งทวีป โดยที่ตอนนั้นยังไม่เจออเมริกาใต้ พอพบว่าอเมริกาใต้มีแผ่นดินส่วนโค้งทางขวาของแผนที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเส้นแบ่งตามสนธิสัญญา โปรตุเกสจึงได้บราซิลมาแบบโชคช่วย

อย่างไรก็ตาม หากวัดจากเส้นแบ่งโลกของมหาอำนาจทั้งสอง โปรตุเกสจะได้ไปเพียงตะวันออกของเส้นแวงที่ตัดผ่านเซาเปาโลขึ้นไปถึงปากแม่น้ำแอมะซอนเท่านั้น แอมะซอนเกือบทั้งหมดจะเป็นของสเปน และในปัจจุบันก็คงจะเป็นของประเทศใดประเทศหนึ่งที่ได้รับเอกราชจากสเปนในยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19
หลักฐานและบันทึกต่างๆ ล้วนสนับสนุนว่าสเปนพบแม่น้ำแอมะซอนก่อน และสำรวจก่อนโดยเริ่มมาจากฝั่งต้นน้ำในเปรูจนทะลุออกมหาสมุทรแอตแลนติก ฝ่ายโปรตุเกสในเวลาต่อมารุบคืบจากทางปากแม่น้ำแอมะซอนเข้าไปในพื้นที่ชั้นใน คนของสเปนค่อยๆ ข้ามมาจากเปรูโดยมีเทือกเขาแอนดีสเป็นอุปสรรค สเปนมีคณะมิชชันนารี โปรตุเกสก็มีเหมือนกัน และที่โปรตุเกสเหนือกว่าคือกองทัพและเหล่านักล่าทาส-สมบัติ-ทรัพยากรทั้งหลายดูจะเอาจริงเอาจังกว่ามาก
ทั้งสองชาติทำสงครามกันในพื้นที่อื่นด้วย โดยเฉพาะในปัจจุบันคือประเทศอุรุกวัย สุดท้ายความขัดแย้งจบที่โต๊ะเจรจา สนธิสัญญามาดริด ค.ศ.1750 กำหนดเส้นแบ่งอาณาเขตหลักๆ ระหว่างสเปนและโปรตุเกส โดยให้แอมะซอนเป็นของโปรตุเกส รีโอเดลาปลาตาเป็นของสเปน (อุรุกวัยและดินแดนส่วนหนึ่งของอาร์เจนตินา) ส่วนที่เป็นของโปรตุเกสในวันนั้นส่วนใหญ่ก็กลายเป็นบราซิลในทุกวันนี้ รวมถึงเมืองมาเนาส์ รัฐอามะโซนัส

มาเนาส์ตั้งตามชื่อของชนพื้นเมืองในดินแดนแถบนี้ก่อนการรุกรานของชาวยุโรป มีความหมายว่า “มารดาแห่งเทพทั้งมวล” โปรตุเกสเข้าไปสร้างป้อมปราการเมื่อปี ค.ศ.1669 หลักๆ เพื่อไว้ป้องกันพวกดัตช์เข้ามาวุ่นวาย จากนั้นคณะมิชชันนารีคาร์เมไลต์สร้างโบสถ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1695

ด้วยตำแหน่งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ตั้งอยู่ที่จุดบรรจบของแม่น้ำรีโอเนโกรและแม่น้ำโซลิโมยส์ (แอมะซอนตอนบน) หลังบราซิลประกาศอิสรภาพจากโปรตุเกสได้ครบ 1 ทศวรรษ มาเนาส์ก็ได้รับสถานะเป็นเมืองเมื่อ ค.ศ.1832 สังกัดรัฐกรัง-ปารา

อย่างไรก็ตาม คนส่วนมากอันประกอบไปด้วยชนพื้นเมือง กลุ่มลูกผสม และอดีตทาสที่เป็นไท ดำรงชีพอยู่อย่างยากจนแร้นแค้น ขณะที่คนขาวชาวยุโรป โดยเฉพาะโปรตุเกสที่เป็นกลุ่มคนส่วนน้อย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่า เพราะร่ำรวยจากอาชีพการเกษตร นอกจากนี้จังหวัดกรัง-ปาราไม่ได้รับการใส่ใจพัฒนาเท่ากับภูมิภาคทางตะวันออกของบราซิล
ด้วยเหตุปัจจัยที่กล่าวมาทำให้เกิดกลุ่ม Cabanagem (กบฏคาบานาเจ) เริ่มที่เมืองเบเลมและกระจายไปสู่มาเนาส์ เรียกร้องความสำคัญของพวกเขา และต้องการบทบาทการปกครองตนเอง พวกเขาลุกฮือขึ้นจับอาวุธตั้งกองกำลังต่อสู้กับฝ่ายรัฐระหว่างปี ค.ศ.1835-1840 บางช่วงเวลาสามารถยึดเมืองใหญ่อย่างเบเลมและมาเนาส์ได้ ประชาชนที่ไม่ใช่คนผิวขาวให้การต้อนรับอย่างดี รวมถึงเข้าร่วมในขบวนการ

แต่สุดท้ายก็ถูกฝ่ายรัฐปราบปรามลงได้อย่างเด็ดขาด ในช่วงความไม่สงบหลายปี กรัง-ปารามีประชากรลดลงไปถึงประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ จากราว 1 แสนคน เหลือประมาณ 6 หมื่นคน แต่การต่อสู้ไม่สูญเปล่า ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของชาวแอมะซอนส่วนใหญ่ที่แสดงออกมา พวกเขาได้อามะโซนัสเป็นรัฐใหม่ในบราซิล และนี่คือรัฐที่มีพื้นที่มากที่สุดของประเทศ

มาเนาส์ เมืองหลวงของรัฐเจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วยธุรกิจการแปรรูปยางพาราตามที่ผมได้กล่าวไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ในปี ค.ศ.1899 รัฐบาลท้องถิ่นมีโครงการปรับปรุงท่าเรือที่มีอยู่และสร้างท่าเรือใหม่ และในปี ค.ศ.1902 บริษัทจากอังกฤษชื่อ Manaos Harbor Limited ได้รับการว่าจ้าง ท่าเรือสร้างเสร็จเปิดใช้งานในปี ค.ศ.1907 ท่าเรือและสิ่งที่ได้มาจากการขนส่งค้าขาย ส่งผลให้เมืองมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีทัดเทียมเมืองใหญ่อื่นๆ ของบราซิล มีระบบสาธารณูปโภคอันทันสมัย ดึงดูดชาวโลกมาสู่มาเนาส์ กลายเป็นเมืองตัวอย่างแห่งความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรมในบราซิล

หลังถูกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แย่งความเป็นเจ้าตลาดยางพาราไป ความซบเซาเข้าครอบงำมาเนาส์นานหลายปี รัฐบาลทหารในปี ค.ศ.1967 ตั้งให้มาเนาส์เป็นเขตส่งเสริมการผลิต-การค้าปลอดภาษี ปัจจุบันมาเนาส์เป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าหลากหลายชนิด อาทิ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ เคมีภัณฑ์ ปิโตรเลียม สบู่ ถั่วชนิดต่างๆ เนื้อวัว หนังสัตว์ และสินค้าเกษตร เฉลี่ยมีสินค้าผ่านท่าเรือมาเนาส์ถึงปีละประมาณ 10.6 ล้านตัน นอกจากนี้มาเนาส์ยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการต่อเรือและโรงงานสุรากลั่นในภูมิภาคอีกด้วย
วันสุดท้ายในเมืองมาเนาส์ ผมเดินสำรวจและถ่ายภาพบรรดาร้านรวง อาคารสถานที่ในย่านใกล้ๆ ท่าเรือ ตอนเย็นใกล้พระอาทิตย์ตกตินก็ได้เดินเลยไปจนถึงท่าเรือ ลุงเจ้าหน้าที่หน้าตาเหมือนคนญี่ปุ่นเข้ามาดึงแขนผม แกพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย เดินนำไปยังห้องขายตั๋วสำหรับเข้าเยี่ยมชมท่าจอดเรือ ค่าตั๋ว 5 เรียล หรือประมาณ 35 บาท ซื้อเสร็จคนที่ตรวจสอบตั๋วก็คือลุงญี่ปุ่นนั่นเอง
จากนั้นผมก็เดินไปบนสะพานยาวเกือบๆ 100 เมตรไปยังท่าจอดเรือรูปตัว T ที่อยู่กลางแม่น้ำ ท่าจอดเรือรูปตัว T มีอยู่ 2 ท่า อยู่ไม่ห่างกัน ส่วนที่อยู่กลางน้ำซึ่งขนานกับท่าติดฝั่งใช้ได้ทั้งหน้าน้ำหลากและหน้าแล้ง ส่วนที่ติดฝั่งใช้ได้เฉพาะฤดูน้ำหลาก

ตอนที่เรือโดยสารของเราเดินทางจากเมืองตาบาติงกามาถึงมาเนาส์ เรือเข้าเทียบที่ท่าใหญ่ติดชายฝั่ง ส่วนตอนที่เรานั่งเรือนำเที่ยวล่องแอมะซอนสาขาไปชมโลมาสีชมพูและหมู่บ้านชนพื้นเมืองนั้นเรือออกจากท่าริมฝั่งทางทิศตะวันออกของท่าใหญ่ ซึ่งท่าริมฝั่งของเรือนำเที่ยวมีอยู่หลายท่า ท่าเรือประมงก็อยู่ติดๆ กัน เรือพวกนี้มีขนาดเล็ก กินน้ำไม่ลึก ไม่จำเป็นต้องไปจอดที่ท่ากลางน้ำ
นอกจากเรือขนส่งสินค้า เรือนำเที่ยวขนาดเล็ก และเรือโดยสารแล้ว ท่าเรือเมืองมาเนาส์ยังถือเป็นจุดศูนย์กลางของการล่องเรือสำราญท่องแอมะซอนมานับตั้งแต่เมื่อท่าเรือเปิดใช้ เรือออกจากมาเนาส์และกลับมาจบทริปที่มาเนาส์ ท่ากลางแม่น้ำที่ผมเดินมาเป็นท่าของเรือท่องเที่ยวจำพวกเรือสำราญ

เรือสำราญมีมากมายหลายขนาด และบางทีเรือเล็กนั้นเมื่อคิดราคาต่อหัวต่อคนหรือต่อเคบินแล้วออกมาสูงกว่าเรือใหญ่ด้วยซ้ำไป นั่นก็เพราะความสามารถในการทะลุทะลวงไปยังแม่น้ำสาขาสายแคบๆ ความใกล้ชิดกับธรรมชาติ ได้ดูสัตว์ป่าและพันธุ์ไม้หายากในระยะประชิด และความเป็นส่วนตัว
ยกตัวอย่าง เรือสำราญขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงอย่าง Iberostar Grand Amazon ให้บริการเคบิน (ห้องนอน) ละ 2 คน ราคาต่อคน 929 เหรียญสหรัฐ สำหรับทริป 4 วัน ขณะที่เรือขนาดเล็กชื่อ Amazon Odyssey คิดราคาเหมาสำหรับ 4 เคบิน รองรับผู้โดยสาร 13 คน ราคาต่อวันคือ 5,274 เหรียญฯ เฉลี่ยคนละ 405 เหรียญฯ หากล่องแอมะซอน 4 วันก็จะมีค่าใช้จ่ายคนละ 1,622 เหรียญฯ มากกว่าเรือใหญ่เกือบ 2 เท่า

ผมเดินถ่ายรูปเรือท่องเที่ยวอยู่จนฟ้าใกล้จะมืด พระอาทิตย์ตกไปแล้วโดยไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะกลุ่มเมฆเข้าบดบัง ได้เวลาเดินกลับฝั่ง ก่อนจะเข้าไปยังตัวอาคารผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วก่อนหน้านี้ ผมเลี้ยวไปทางซ้าย มีระเบียงยาวยื่นออกไปในน้ำสำหรับให้นักท่องเที่ยวออกไปยืนถ่ายรูปโดยมีน้ำ เรือสำราญ และท้องฟ้าเป็นฉากหลัง แต่วันนี้เดินเข้าไปในระเบียงยาวไม่ได้ เพราะมีเชือกกั้น
จากตรงนี้พอหันหลังกลับ เห็นห้องกระจกใสของอาคารผู้โดยสาร ในนั้นเต็มไปด้วยร้านเบียร์สด ผมเดินคอแห้งอยู่หลายชั่วโมงแล้วจึงรีบเดินเข้าไปใช้บริการ ดูๆ ไปลูกค้าของแต่ละร้านไม่ใช่ผู้โดยสารรอขึ้นเรือ แต่เป็นคนที่มานั่งดูน้ำและดูเรือมากกว่า
พนักงานเสิร์ฟพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ผมก็พูดโปรตุกีสไม่ได้ ผมตั้งใจสั่งอย่างหนึ่ง แต่ได้อีกอย่างหนึ่งมาดื่ม และมาแบบ 1 ไพนต์ แถม 1 ไพนต์ ซ้ำละเลงเกลือมารอบขอบแก้ว
หมดเพียงค่อนไพนต์หายคอแห้ง ผมก็เรียกเก็บเงิน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลัคนามังกรกับลีลาสำคัญของชีวิตปี2569
ในบรรดาเรื่อง บวกและลบ ที่เกิดในชีวิตได้ตลอดเวลานั้น ปี 2569 นี้ ลางจากดาวขนาดใหญ่ ที่บ่งบอก เหตุการณ์สำคัญ (ยังมีเรื่องยิบย่อยอีกมาก) ที่มีแนวโน้มจะเกิดกับท่า
ความจริงเทียมทำร้ายสังคม
การสื่อสารของสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูข่าว เลือกข่าวที่จะนำเสนอ และปิดข่าวที่ไม่ต้องการเสนอ ทำให้สังคมรับรู้ความจริงเทียม (Pseudo-reality)
น้ำท่วม!!!...กับ'พรหมวิหาร4'
ออกจะหนักหนา-สาหัสมิใช่น้อย...สำหรับ น้ำท่วมปักษ์ใต้ คราวนี้!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะ หาดใหญ่-สงขลา ที่แม้แต่ผู้เป็นห่วง เป็นใย ออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ยังอดร้องห่ม ร้องไห้
เมื่อ 'ศูนย์ฯ' กลายเป็น 'ศูนย์'
ฟังเหตุผล ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี ถึงเรื่องที่ พล.ต.ต.ธีรศักดิ์ ไชยโยธา ผู้การสงขลา มีคำสั่งเด้ง ผู้กำกับหาดใหญ่-พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ เพชรหนองชุม
ดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์ปี 2569 (ตอนที่2) เหตุสำคัญที่มีเกณฑ์เกิดในเมืองปี 2569
ตลอดปีเสียอะไรไปสู้ได้กลับมา-ภายใน 21 เมษายน เมืองยังมีโอกาสเสียคนหรือของรัก-ฟาดเคราะห์ให้เมืองด้วยการร่ว
เมื่อผู้ใหญ่จัญไรอัปรีย์...จะมีอะไรดีให้ลูกหลาน
ลองวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราขณะนี้ เราก็จะเห็นว่าประเทศไทยเรากำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะมีผู้ใหญ่เห็นแก่ตัว ทำตัวชั่วช้าสามานย์

