ทำไมคนไทยจึงต้องตื่นเต้นกับคำว่า Unicorn ในแวดวง startups ของประเทศ?
เพราะมันสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะเข้าสู่ภาวะความเปลี่ยนแปลงที่ถูกกำหนดโดยเทคโนโลยีมากขึ้นทุกที
ก่อนหน้านี้มีคนปรามาสว่าประเทศไทยเราจะสร้าง Unicorn (ธุรกิจสตาร์ทอัปที่มีมูลค่าบริษัทเกิน 1,000 ล้านเหรียญ หรือ 33,000 ล้านบาท) มีแต่อินโดนีเซียและสิงคโปร์ที่ล้ำหน้าไทยไปแล้ว
แต่ในปีนี้เกิดสตาร์ทอัปไทยเป็นยูนิคอร์นใหม่ 3 ตัว
นอกจากดีลนี้จะเรียกความสนใจจากแวดวงการเงินได้สูงมากแล้ว ในอีกด้านหนึ่ง บิทคับ ภายใต้การกุมบังเหียนของคุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ก็มีภาพของการเป็น “สตาร์ทอัปไทย” ที่ชัดเจนมากๆ เช่นกัน
ล่าสุดคือ Bitkub ที่มีนักธุรกิจหนุ่มวัย 31 ปี ชื่อจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กระโจนเข้ามาในจุดนี้เมื่อกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์เข้ามาทุ่ม 17,800 ล้านบาท เพื่อซื้อ 51% ของธุรกิจแพลตฟอร์มซื้อขาย cryptocurrencies แห่งนี้
การที่ไทยเคยถูกมองว่าคงจะสร้างยูนิคอร์นยาก เพราะขาดการสนับสนุนที่เหมาะสม ประกอบกับแนวโน้มการลงทุนจากกองทุนต่างประเทศที่ชะลอตัว ทุนด้านนี้จึงมุ่งไปอินโดนีเซียและเวียดนามมากกว่า
แต่แล้วก็เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เมื่อมียูนิคอร์น 3 ตัวของไทยผงาดขึ้นอย่างโดดเด่น ได้แก่ แฟลช เอ็กซ์เพรส, Ascend Money และมาถึงรายล่าสุดคือ บิทคับ
เชื่อได้ว่ากรณีล่าสุดจะสร้างแรงกระตุ้นครั้งสำคัญให้กับวงการสตาร์ทอัปไทยให้เกิดแรงฮึดขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งที่ควรวิเคราะห์คือ กรณีเช่นนี้เป็นการบ่งบอกถึงแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอะไรบ้าง
ผู้เชี่ยวชาญหลายวงการเห็นพ้องกันว่า การตัดสินใจของเครือไทยพาณิชย์ครั้งนี้สะท้อนถึงการตระหนักว่าระบบธนาคารดั้งเดิมไม่อาจจะตอบโจทย์ของโลกยุคปัจจุบันได้อีกแล้ว
คุณกรณ์ จาติกวณิช ที่เคยเป็นนักการเงินคนสำคัญของประเทศเขียนในเฟซบุ๊กพูดถึง 5 สัญญาณที่เกิดจากกรณี SCB-Bitkub ที่น่าสนใจว่า
สัญญาณข้อแรก เป็นการยืนยันว่า นายธนาคารมองว่า crypto เป็นส่วนสำคัญใน "อนาคตการเงิน" แน่นอน
นั่นย่อมรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ที่จะเกิดจากการ synergy ของผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารปัจจุบันร่วมกับสินทรัพย์ดิจิทัล
ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริหารการลงทุนของนักลงทุนไทยในสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีมากขึ้น
ซึ่งต้องติดตามต่อว่าจะทำให้เงินทุนหมุนเวียนในตลาดทุน (ตลาดหลักทรัพย์) ได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เมื่อนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นหรือได้รับการชี้ชวนจากสถานบันการเงินเดิมที่ตนเชื่อมั่นและคุ้นเคย
สัญญาณที่สองคือแนวโน้มจากที่ในอดีตธนาคารพาณิชย์ขยายฐานธุรกิจด้วยการซื้อหรือควบรวมกันเอง จากนี้เราจะเห็นธนาคารพาณิชย์ซื้ออนาคตด้วยการลงทุนใน alternative finance (การเงินทางเลือกใหม่)
ซึ่งแปลว่าธนาคารที่ขาดวิสัยทัศน์หรือขาดกำลังทุนมีแนวโน้ม" สูญพันธุ์" สูง
การตอบโต้ทางการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์กันเองในเรื่องนี้ จะมีผลสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมการเงินไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สัญญาณที่สาม เมื่อธนาคารพาณิชย์ขยับ ฝ่ายกำกับดูแลต้องเร่งขยับตาม ไม่ว่าจะเป็นแบงก์ชาติ หรือ ก.ล.ต. ซึ่งวันนี้ยังเกี่ยงความรับผิดชอบกันอยู่ว่าใครมีหน้าที่คุมส่วนไหนของโลกดิจิทัล
การจุดพลุโดยผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเอง ย่อมกระตุ้นการกำกับให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และการข้ามเส้นระหว่างเครื่องมือการเงิน tradition กับยุคใหม่
คุณกรณ์บอกต่อว่า ถ้ามองว่า crypto currency เป็นส่วนสำคัญของเรื่องการเงินและทรัพย์สินดิจิทัล ของโลก metaverse ประเทศไทยเราก็กำลังขับเคลื่อนไปในทิศทางของ mega trend กระแสโลก โดยเอกชนภาคการเงิน
สัญญาณที่สี่ ในภาพรวมเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทยที่เราเริ่มมี "ยูนิคอร์น" เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นกำลังใจที่ดีให้กับสตาร์ทอัปไทยอื่นๆ ได้สู้ต่อ
การเกิดดีลนี้ย่อมส่งผลต่อ ecosystem startup ไทย ให้ได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น
จะเห็นว่าสตาร์ทอัปไทยมีศักยภาพในตนเอง หากได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐ ไทยจะสามารถสร้างยูนิคอร์นรายต่อๆ ไปได้เร็วและจำนวนมากที่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงได้
สัญญาณที่ห้าเกี่ยวกับความท้าทายเดียวที่น่าเป็นห่วงคือ กฎระเบียบจากฝ่ายกำกับที่ถูกขับดันจากผู้เล่นรายใหญ่เดิมจะต้องไม่เป็นการกีดกันโอกาสการเติบโตของ startup รายย่อยด้วยเช่นกัน
แต่ต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการแข่งขันแบบ “เศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก” ทั้งในประเทศเอง และในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญและเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุคที่โลกถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี หรือการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลนี้ได้
คุณกรณ์สรุปว่าทั้งหมดนี้เป็นมุมมองสัญญาณในฐานะรุ่นพี่จากโลกการเงิน จากอดีตคนกำกับนโยบายการคลังของชาติ และในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองที่มองว่า "เศรษฐกิจไทย" อย่างไรเสียก็ต้องก้าวเข้าสู่ยุคการเงินดิจิทัลที่เต็มไปด้วยโอกาส และการท้าทาย
สำคัญที่สุด ผู้บริหารภาครัฐต้องตามให้ทัน รู้ให้ลึก และสร้างประโยชน์ให้ตกแก่คนไทยให้ได้
เป็นภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะตามมาอีกมากมายหลายด้านอย่างปฏิเสธไม่ได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


