ตั้งท่ากันมานานหลายปี ประเทศไทยเริ่มเปิดแพลตฟอร์มซื้อ-ขาย “คาร์บอนเครดิต” เป็นครั้งแรกแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา
เป็นก้าวสำคัญสำหรับการที่ไทยเราจะอยู่ในจุดที่ผลักดันให้ร่วมต่อสู้โลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม
แม้ว่าจะมีการพูดถึง Carbon Credit ในระยะหนึ่ง แต่คนไทยทั่วไปก็คงจะยังไม่คุ้นเคยกับคำนี้มากนัก
หากมีการให้ความรู้และกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวให้กว้างขวางกว่าที่เป็นอยู่ เรื่องสำคัญระดับโลกนี้จะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย
เพราะคนไทยไม่ร่วมกันปรับตัวและพฤติกรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของการสู้โลกร้อนไม่ได้อีกแล้ว
วันก่อนผมได้ฟังคุณวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พูดถึงเรื่องนี้ภายใต้หัวข้อ “ยุทธศาสตร์ การผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ” แล้วก็พอจะเห็นหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน
คุณวราวุธบอกว่า เราต้องยอมรับว่าสภาพอากาศของโลกมีความแปรปรวนเป็นอย่างมาก
เมื่อเดือนที่ผ่านมาเกิดน้ำท่วมฉับพลันที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ วันเดียวมีน้ำท่วมสูงถึง 380 มิลลิเมตร
ในทางกลับกันทางประเทศจีนเกิดปรากฏการณ์คลื่นความร้อนที่ยาวนานเป็นเดือน
ทำให้ปริมาณฝนที่ตกน้อยเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำอีกหลายสายเกิดภัยแล้งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จึงถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนต้องตระหนักว่า ภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที
แนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในประเทศไทยมีความชัดเจนในระดับนโยบาย
หนึ่งในหนทางสำคัญที่รัฐบาลเดินหน้าผลักดันคือ การเพิ่มแหล่งกักเก็บ และดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ป่า จำนวน 6 แสนไร่
รัฐมนตรีวราวุธบอกว่า ขณะนี้มีภาคเอกชนแสดงเจตจำนงเพื่อขอเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก
ทั้งในส่วนพื้นที่ป่าชายเลนและพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม
เพราะภาคเอกชนเริ่มเห็นแล้วว่าคาร์บอนเครดิตมีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศและต่อการทำธุรกิจของตนเองมาก
หลายประเทศที่ไทยทำมาค้าขายด้วย โดยเฉพาะทางตะวันตกได้ออกกฎหมายที่จะเก็บภาษีสูงขึ้นหากสินค้าที่ส่งไปขายไม่มีมาตรฐานด้านการลดภาวะโลกร้อน
ถ้าไทยไม่ปรับตัวจะไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
และจะถูกจัดเป็นประเทศที่มีปัญหาเกี่ยวกับการช่วยกันปกปักรักษาสิ่งแวดล้อม
คุณวราวุธประกาศเปิดแพลตฟอร์มซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ในวันที่ 21 กันยายน 2565
โดยเงื่อนไขการแบ่งปันคือ ผู้ปลูกหรือภาคเอกชนจะได้คาร์บอนเครดิต 90% และรัฐบาลจะได้คาร์บอนเครดิต 10%
ส่วนประชาชนในพื้นที่จะได้ประโยชน์จากการจ้างงานของภาคเอกชน เพื่อดูแลพื้นที่ป่าเหล่านี้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย โดยมีเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)” ในปี ค.ศ.2050 (พ.ศ.2593)
และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก “สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission)” ในปี ค.ศ.2065 (พ.ศ.2608)
โดยรัฐบาลรับปากจะมีการสนับสนุนทางด้านการเงิน เทคโนโลยีอย่างเต็มที่และเท่าเทียม
รวมถึงการเสริมสร้างขีดความสามารถจากความร่วมมือระหว่างประเทศ
หากทุกประเทศทำได้ จะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในช่วงสิ้นศตวรรษที่ 21 เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีส (Paris Agreement)
มีแนวทางการผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก 6 ด้านของกระทรวง ได้แก่
1.ด้านนโยบาย โดยการบูรณาการด้านยุทธศาสตร์และนโยบายระดับชาติ สู่เป้าหมาย Net Zero
2.ด้านการพัฒนาเทคโนโลยี
3.ด้านการลงทุน โดยร่วมกับ BOI สนับสนุนการลงทุนสีเขียวมากขึ้น
4.ด้านพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งขณะนี้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้ร่วมกันจัดทำแนวทางและกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
คุณเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ TGO อธิบายว่า TGO เป็นองค์กรหลักในการควบคุม หรือกำกับดูแลมาตรฐานการประเมินภาคสมัครใจ การส่งเสริมให้เกิด Eco-system (ระบบนิเวศ) ในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย
องค์การมหาชนแห่งนี้ถูกตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550
มีหน้าที่บริหารจัดการโครงการดังกล่าว มีความเป็นเอกภาพและคล่องตัวในการดำเนินงาน
รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์การระหว่างประเทศ
มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ.2550 ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 31 ก เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2550 และได้มีการจัดตั้ง “องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) : อบก.” มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Public Organization :TGO)” ขึ้นภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มีวัตถุประสงค์หลักในการวิเคราะห์ กลั่นกรองและทำความเห็นเกี่ยวกับการให้คำรับรองโครงการที่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด
มีบทบาทสำคัญในเรื่องของการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) ของประเทศ ดังนี้
- ทำหน้าที่ Designated National Authority of Clean Development Mechanism (DNA-CDM) office ของประเทศไทย ตามพันธกรณีพิธีสารเกียวโต
ซึ่งจะต้องทำหน้าที่วิเคราะห์ กลั่นกรอง โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่เรียกว่า โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด Clean Development Mechanism (CDM) และให้ความเห็นแก่คณะกรรมการบริหารองค์การก๊าซเรือนกระจก ว่าโครงการต่างๆ ที่ดำเนินงานในประเทศไทยควรจะได้รับความเห็นชอบ และออกหนังสือรับรองโครงการ (Letter of Approval : LoA) ให้กับผู้พัฒนาโครงการหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิควิชาการที่จะต้องกลั่นกรอง วิเคราะห์แต่ละโครงการว่าเป็นโครงการที่เป็นไปในหลักเกณฑ์การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Criteria : SD Criteria) ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจ และสังคมที่ประเทศไทยกำหนดขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การลงทุนการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม แก่ชุมชน ท้องถิ่นที่โครงการตั้งอยู่
2.มีบทบาทเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการ ข้อมูล สถานการณ์ ที่เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศไทย และเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการการจัดการก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนศักยภาพการดำเนินการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศว่าจะลดก๊าซเรือนกระจกในภาคใดบ้าง
3.ส่งเสริมและพัฒนาโครงการและการตลาดซื้อ-ขายปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Carbon Credit) ที่ได้รับการรับรอง
รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนให้คำแนะนำแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในการพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจก (โครงการ CDM) และการบริหารจัดการเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการให้บริการข้อมูลที่ทันสมัยทั้งเรื่องสถานการณ์ สภาวะการตลาด Carbon Market และการเข้าถึงแหล่งทุน (Access to Fund) ที่จะมาลงทุนร่วมทั้งจากภายนอกประเทศและภายในประเทศ
ทั้งหมดนี้คือก้าวย่างที่สำคัญสำหรับประเทศไทยที่อยู่ใกล้ตัวคนไทยทุกคนทุกอาชีพและทุกวงการจริงๆ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


