ปัญหาลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก

กระแสฟุตบอลโลกของประเทศไทยในขณะนี้ต้องเรียกได้ว่า จืดชืดสนิท ก็หากยึดตามวัน-เวลาการแข่งขัน ต้องบอกว่า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนร่วมทัวร์นาเมนต์การแข่งขันแล้ว โดยหากยึดตามปฏิทินการแข่งขัน คู่แรกเปิดสนาม กาตาร์ เจ้าภาพในครั้งนี้ จะดวลแข้งกับทีมเอกวาดอร์ ในวันอาทิตย์ที่ 20 พ.ย.ที่จะถึงนี้

แต่จนถึงขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจนเลยว่าจะได้รับชมการแข่งขันฟุตบอลโลกหรือไม่ และถ้าได้รับชมก็ไม่ทราบว่าจะได้รับชมทุกคู่หรือไม่

ซึ่งหากเกาะติดเรื่องนี้ให้ดี ทางรัฐบาล นำโดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ซึ่งดูแลในเรื่องกีฬา ก็ออกมารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าคนไทยจะได้รับชมการถ่ายทอดฟุตบอลโลกอย่างแน่นอน โดยจะมีการนำเงินจากหน่วยงานอย่าง กสทช.ไปซื้อลิขสิทธิ์

แต่ปัญหาที่เจอตอนนี้ และมีการปูดข้อมูลกันอย่างหนักก็คือ ค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกของไทยเนี่ยราคาพุ่งกระฉูดถึงกว่า 1,600 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่ายิ่งซื้อใกล้ช่วงเวลาแข่งขัน ยิ่งถูก แต่จากข้อมูลที่ออกมานั่นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

และยิ่งเมื่อไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา ที่เขาซื้อราวๆ 500 ล้านถึงไม่เกิน 1,000 ล้านบาท หากไทยต้องเสียเงินในอัตราที่สูงขนาดนั้นก็ต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่า มันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะเอางบบริหารประเทศไปใช้จ่ายในรายการแบบนี้

โดยมีแหล่งข่าววงในออกมาแฉอีกว่า สาเหตุที่ราคาแพงเพราะเอเยนต์ของฟีฟ่ามีการโก่งราคา เนื่องจากทราบว่าประเทศไทยมีกฎ “มัสต์แฮฟ” (Must Have) ที่ระบุว่า ฟุตบอลโลกเป็น 1 ใน 7 มหกรรมกีฬาที่คนไทยต้องได้ดูฟรี แถมภาครัฐบาลยังออกมาย้ำว่าคนไทยได้ดูแน่ จึงทำให้ทางเอเยนต์ของฟีฟ่ามีข้อต่อรองในการเรียกราคาได้ เพราะรู้ดีว่ารัฐจะไม่ยอมเสียหน้า และเอเยนต์รายนี้ก็หัวหมอในการใช้คนไทยเป็นตัวประกันในการต่อรอง

แต่อย่างไรก็ดี สมมติว่าปัญหาในเรื่องลิขสิทธิ์ครั้งนี้จบลง และรัฐบาลใช้งบของ กสทช.ไปจ่ายจริงๆ แม้ทัวร์นาเมนต์นี้จบลงแต่ในการแข่งขันครั้งต่อไปก็จะกลายเป็นปัญหากลับขึ้นมาอีก และรัฐบาลจะต้องมานั่งแก้หน้าเสื่อทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการบีบคอเอกชน จ่ายเงินซื้อ หรือใช้งบจากหน่วยงานราชการมาช่วยซื้อลิขสิทธิ์

จริงๆ ปัญหานี้มันควรแก้ไข โอเคถ้าคิดว่ารัฐบาลรับมือไหวก็มีการตั้งงบซื้อฟุตบอลโลก บอลยูโรไปเลย ให้ชัด จะได้ไม่ต้องรอถึงโค้งสุดท้ายแบบนี้ แต่ในเชิงปฏิบัติทำได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ซึ่งแนวทางนี้ก็ถือว่าชัดเจนดี เพียงแต่ต้องตอบคำถามประชาชนที่ไม่ดูบอลให้ได้

หรืออีกทาง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องทำการสื่อสารอย่างชัดเจนว่า ฟุตบอลโลก หรือบอลยูโร ไม่ใช่ของฟรี และจะดูฟรีเหมือนสมัยก่อนไม่ได้แล้ว และยกเลิกกฎ “มัสต์แฮฟ” (Must Have) ออกไป เพื่อให้กลไกในการทำธุรกิจกลับมา และจะได้ดูว่า จะมีเอกชนรายไหนกล้าเสนอตัวซื้อลิขสิทธิ์แล้วมาจัดแพ็กเกจขายให้ประชาชนบ้าง

โดยหากเทียบกับในต่างประเทศ อย่างเพื่อนบ้านของเรา เช่นในมาเลเชีย เขาเลือกถ่ายทอดสด 27 แมตช์ ซึ่งรวมไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และถ่ายทอดเทปบันทึกการแข่งขัน 14 แมตช์ จากการแข่งขันทั้งหมด 64 แมตช์ ทำให้ซื้อลิขสิทธิ์ได้ราคาถูก ส่วนฟิลิปปินส์ ถ่ายทอดสดผ่านทาง TAP สามารถรับชมทุกแมตช์ด้วยระบบ Pay-Per-View (PPV) ค่าดูที่ 1,999 เปโซ หรือประมาณ 1,306 บาท สิงคโปร์ StarHub, Singtel และ Mediacorp ซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกมาที่ราคา 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 948 ล้านบาท สตรีมมิง ราคา 98 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 2,636 บาทต่อ 64 แมตช์ และถ่ายทอดสดแบบ Free-to-Air ใน 9 แมตช์สำคัญทางช่อง Mediacorp หรือแม้กระทั่งประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกอย่างญี่ปุ่นยังไม่ได้ดูฟุตบอลโลกฟรีเลย

ดังนั้น ถึงเวลาที่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องมาคิดทบทวนแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับไทยมันใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่ และถึงเวลาต้องทบทวนกฎ “มัสต์แฮฟ” (Must Have) หรือยัง.

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เดินให้สุดทำอย่างจริงจัง

ปัจจุบันพบปัญหาถังก๊าซหุงต้มในท้องตลาดเสื่อมสภาพและหมดอายุตกค้างอยู่ในระบบจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการลักลอบนำถังก๊าซหุงต้มมาเติมในสถานีบริการ LPG เป็นระยะ ซึ่งนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว

ดันสงกรานต์ไทยสู่เทศกาลโลก

หลังจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงมหาดไทย จับมือจัดงาน “Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567”

เน้นเชิงรับมากกว่าเชิงรุก

ก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas) หรือก๊าซ LPG ด้วยคุณสมบัติพิเศษของมันก็คือ การที่มีสารโพรเพนและบิวเทนอยู่ในตัว ซึ่งสารสองนี้เป็นสารที่ติดไฟง่าย

เจาะลึกพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวไทย

ในช่วงที่ผ่านมาได้มีผลการวิจัยของมินเทล (Mintel) พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยหันมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้นในการหาแรงบันดาลใจด้านการท่องเที่ยว และแบ่งปันประสบการณ์ท่องเที่ยวของตนเอง

วิกฤตเลวร้ายกว่าต้มยำกุ้ง?

ตกเป็นประเด็นอีกครั้ง สำหรับเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจของไทย เพราะล่าสุด 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรีได้มาพูดย้ำว่า ประเทศไทยตอนนี้มันยากกว่าสมัยช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เพราะมีความซับซ้อนและยากมากกว่า และมองว่าการแก้ไขมันต้องมีการเปลี่ยน เพราะโลกมันเปลี่ยนไม่เหมือนเดิม

จับชีพจร“ท่องเที่ยวไทย”เริ่มฟื้นตัว

“ท่องเที่ยว” ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนและกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ เรียกได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมหลักๆ ที่สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศตลอดช่วงที่ผ่านมา