เส้นทางอันคดเคี้ยวของ อันวาร์ อิบราฮิม ก่อนมีวันนี้

ชีวิตหักเหทางการเมืองของอันวาร์ อิบราฮิม มาถึงจุดสูงสุดในวัย 75

แต่แม้จะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมใจแล้วก็ไม่ได้แปลว่าจะมีความยั่งยืนมั่นคง

เพราะต้องอาศัยจมูกของพรรคร่วมรัฐบาลมากมายหลายพรรคหายใจ

เรื่องของการแทงข้างหลังและการเบี้ยวข้อตกลงเป็นเรื่องธรรมดาของการเมืองมาเลเซียเหมือนกับอีกหลายประเทศ

เมื่อปี 1997 อันวาร์ได้ขึ้นปกนิตยสารไทม์ ยกย่องให้เขาเป็นสัญลักษณ์ของ "อนาคตของเอเชีย"

ในที่สุด “อนาคต” ก็มาถึงเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

เมื่อเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 ของมาเลเซีย จากความพยายามครั้งที่ 4 ของการดิ้นรนต่อรองและรณรงค์อย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

คำมั่นสัญญาแรกกับประชาชนในฐานะผู้นำคนใหม่คือ จะจัดการกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น

สำหรับอันวาร์ การได้มานั่งทำงานที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีนั้นถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนสถานะอย่างมีนัยสำคัญจากห้องเรือนจำที่จำกัดเสรีภาพของเขามากกว่า 1 ครั้ง

ด้วยข้อหาหลายกระทงที่เขายืนกรานปฏิเสธมาตลอด

ในฐานะเป็นผู้นำของกลุ่ม “พันธมิตรแห่งความหวัง”

 Pakatan Harapan (Alliance of Hope) กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ อีกหลายประการ

นั่นคือการนำความมั่นคงมาสู่ประเทศในฐานะนายกฯ คนที่ 4 ใน 4 ปี

ในบรรยากาศที่ยังแปดเปื้อนไปด้วยเรื่องอื้อฉาวทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ...คอร์รัปชันที่โยงถึงอดีตนายกฯ นาจิบ ราซัค ในคดี 1MDB

อันวาร์มีความเชี่ยวชาญด้านภาษามลายู เรียนหนังสือจบที่มหาวิทยาลัยมาลายา ก่อนจะกระโจนเข้าสู่การเมืองในปี 1972

โดยก่อตั้งขบวนการเยาวชนมุสลิมแห่งมาเลเซีย

อันวาร์ได้ชื่อว่าเป็นนักพูดที่มีทักษะคล่องแคล่วและสามารถชักจูงคนฟังได้อย่างแหลมคม

เขาได้รับเลือกเข้าสภาเป็นครั้งแรกในปี 1982 ในฐานะสมาชิกของ United Malays National Organization (UMNO)

อันเป็นพรรคที่ปกครองมาเลเซียมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์หลังประเทศได้รับเอกราช

อันวาร์เติบโตทางการเมืองอย่างรวดเร็ว ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการในคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีมหาธีร์ โมฮัมหมัด ที่เห็นศักยภาพของหนุ่มไฟแรงคนนี้เกือบจะทันทีที่ได้สัมผัส

จากจุดนั้น อันวาร์ใช้เวลาเพียง 1 ปีในการได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรัฐมนตรี

และตั้งแต่ปี 1983 ถึง 1998 เขาได้ควบคุมพอร์ตการลงทุนต่างๆ ตั้งแต่เยาวชนและกีฬา ไปจนถึงวัฒนธรรม การเกษตร การเงิน และการศึกษา

ปี 1993 เป็นปีแห่งความรุ่งเรืองทางการเมืองของเขา เพราะได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

เป็นที่ชัดเจนว่ามหาธีร์วันนั้นกำลังป่าวประกาศให้คนมาเลเซียทั้งประเทศได้รับรู้ว่าอันวาร์คือ “ทายาททางการเมือง” ต่อจากเขา

แต่ในปี 1998 ซึ่งเป็นปีหลังจากที่อันวาร์ได้ขึ้นปกนิตยสารไทม์ ทุกอย่างกลับพังทลายลง

อันวาร์ถูกไล่ออก ติดคุก หรือแม้แต่ถูกหัวหน้าตำรวจทำร้าย ซึ่งในเวลาต่อมาจะได้รับโทษจำคุกสั้นๆ ฐานทำร้ายร่างกาย

ในปี 1999 อันวาร์ถูกศาลตัดสินมีความผิดในข้อหาทุจริตและประพฤติผิดทางเพศกับผู้ชาย ถูกส่งตัวเข้าคุก

เขานอนคุกถึงปี 2004 เมื่อมีคำสั่งลดโทษบางส่วน

อันวาร์เดินหน้าต่อสู้ทางการเมืองด้วยการตั้งพรรค People’s Justice Party

โดยในช่วงต้นพรรคนี้มีแกนนำคือภรรยาของอันวาร์ วัน อาซิซาห์ วัน อิสมาอิล ทั้ง 2 มีลูกด้วยกัน 6 คน

ในปี 2008 อันวาร์ประสบความสำเร็จในการกลับเข้าสู่รัฐสภาด้วยการชนะการเลือกตั้งซ่อม

แต่ในปีเดียวกัน เขาก็โดนข้อหาเรื่องพฤติกรรมทางเพศครั้งใหม่ และถูกสั่งจำคุกอีกครั้งในปี 2015

ในปีเดียวกันนั้นเองก็เริ่มมีข่าวเกี่ยวกับการทุจริตว่าด้วยการฉ้อฉลอย่างมโหฬารใน 1Malaysia Development Berhad (1MDB)

ซึ่งเป็นกองทุนของรัฐบาลที่ตั้งและบริหารโดยผู้มีอิทธิพลในพรรค UMNO โดยเฉพาะนายกฯ Najib Razak

เชื่อกันว่าเงินจำนวน 4.5 พันล้านดอลลาร์ (162,000 ล้านบาท) ถูกยักยอกไปจากกองทุนนี้

อันวาร์กับมหาธีร์กลับมาจับมือกันอีกครั้งด้วยความจำใจ ทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วยังมีความแค้นเคืองกันอย่างหนัก

นั่นคือการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2018

แม้จะมีความร่วมมือไม่ราบรื่นนัก และอันวาร์จะยังอยู่ในคุก แต่เมื่อรวมพลังกันแล้วก็สามารถคว้าชัยชนะเหนือแนวร่วมแห่งชาติของนายกฯ นาจิบได้อย่างเกรียวกราว

สิ้นสุดการครองอำนาจเบ็ดเสร็จของพรรค UMNO อย่างมีนัยสำคัญ

จากผลการเมืองตั้งครั้งนั้น มหาธีร์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และวัน อาซิซาห์ ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี

ต่อมาอันวาร์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ 1 สัปดาห์ หลังจากมหาธีร์เข้ารับตำแหน่ง

เป็นที่รับทราบว่าเขาและมหาธีร์มีข้อตกลง (แม้จะไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร) ว่าภายใน 2 ปี มหาธีร์จะส่งไม้ต่อให้อันวาร์

แต่แล้วท่านผู้เฒ่าก็เบี้ยวจนได้

ไม่ช้าไม่นาน การเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลก็เกิดอาการรวนเร นำไปสู่การก่อขบถภายในที่ทำให้มหาธีร์ลาออกในช่วงต้นปี 2020

เปิดทางให้แนวร่วมในอดีต มูห์ยิดดิน ยัสซิน เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจาก UMNO

เป็นการพลิกเกมการเมืองที่อื้อฉาวเกรียวกราวไปด้วยข้อกล่าวหาว่ามีการทรยศหักหลังกันอย่างวุ่นวาย

ปีที่แล้วรัฐบาลของมูห์ยิดดินล้มครืน เปิดทางให้ UMNO กลับมามีบทบาทสำคัญอีก

แต่แล้ว UMNO ก็ฟื้นไม่ได้เต็มตัว ผลการเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนว่าพรรคเก่าแก่แห่งนี้หมดสภาพของการเป็นพรรคใหญ่แล้ว

เพราะพันธมิตรกลุ่ม UMNO ที่เรียกว่า BN นั้นได้ที่นั่งเพียง 30 ในสภาครั้งนี้

แต่แล้วอันวาร์ก็จำเป็นต้องพึ่งพาพรรคเก่าของตน ทั้งๆ ที่เคยประกาศจะไม่เผาผีกับพรรคนี้ เพราะปัญหาคอร์รัปชัน

เงาของอดีตนายกฯ นาจิบยังยืนตระหง่านอยู่ข้างหลัง UMNO

เพราะเขากำลังนั่งอยู่ในเรือนจำจากคำพิพากษาของศาลให้จำคุก 12 ปี จากข้อหาโกงกินที่โยงกับ 1MDB

จากนี้ไป นายกฯ อันวาร์ต้องเจอกับความท้าทายที่เหนื่อยยากและลำบากอย่างยิ่ง

แต่ในเมื่อเป็นเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิตแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องลุยต่อไปข้างหน้า

ไปตายเอาดาบหน้า...ส่วนดาบหน้าจะมาในกี่วันกี่เดือนก็ยังไม่อาจจะทราบได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

งบมะกันก้อนใหม่จะช่วยยูเครน พลิกสถานการณ์สู้รบได้แค่ไหน?

แม้ว่ารัฐสภาสหรัฐฯจะเปิดไฟเขียวให้งบประมาณช่วยเหลือทางทหารก้อนใหม่ แต่ยูเครนก็ยังต้องดิ้นรนไม่ให้แพ้สงครามกับรัสเซีย

ทิม คุกบินไปเวียดนาม-อินโดฯ ทำไมไม่แวะประเทศไทย?

สัปดาห์ก่อน ทิม คุก ซีอีโอของ Apple บินข้ามไทยไปเวียดนาม, อินโดนีเซียและสิงคโปร์ เพื่อสรุปแผนการลงทุนหรือเพิ่มกิจกรรมในประเทศเหล่านั้น

มะกันทุ่ม 3.5 ล้านล้านบาท ให้ยูเครน, อิสราเอล, ไต้หวัน!

งบประมาณก้อนใหญ่ที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อนุมัติเพื่อช่วยยูเครน, อิสราเอล และไต้หวันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะช่วยลดความกังวลของยูเครนว่ากำลังจะแพ้สงครามได้หรือไม่...ยังต้องคอยดูของจริงในสมรภูมิรบต่อไป

เชื่อไหม:อิสราเอลกับ อิหร่านเคยรักกัน?

อิสราเอลกับอิหร่านเปิดศึกสงครามที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกวันนี้ มีคำถามว่าทั้ง 2 ชาตินี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างรุนแรงเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเหตุผลแห่งความบาดหมางกันอย่างไร