วันนี้วันสุดท้ายของปีเสือ กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีกระต่าย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ถูกกำหนดโดยการผันแปรของเทคโนโลยีที่จะมีผลกระทบต่อผู้คนที่วงการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประเทศไทยเราจะต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายความสามารถของรัฐบาลที่จะมาหลังการเลือกตั้งอย่างหนัก
เพราะเมื่อโจทย์ด้านเศรษฐกิจและสังคมยุ่งยากและซับซ้อนขึ้นอย่างมาก แต่คุณภาพของการเมืองไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการพัฒนาขึ้นแม้แต่น้อย เราก็คงหวังไม่ได้ว่าสภาพบ้านเมืองปีหน้าจะมีความสดใสอย่างที่เรามีสิทธิจะหวังได้
สำหรับคนไทย ปี 2566 จะเต็มไปด้วยความคึกคักด้านการเมือง เพราะจะมีการเลือกตั้งทั่วไป
แต่ถ้าถามว่า คนไทยพอจะหวังว่าชีวิตจะดีขึ้นหลังการเลือกตั้งเสร็จแล้วมีรัฐบาลใหม่หรือไม่
คำตอบก็จะมาในรูปคำถามว่า: มีเหตุอันใดที่จะทำให้เห็นว่าคุณภาพของนักการเมืองที่จะได้รับเลือกครั้งนี้จะโดดเด่นไปจากทุกครั้งที่ผ่านมาหรือ
ถ้าถามคนไทยที่ไม่เลือกข้าง ไม่คิดว่าตัวเองอยู่ฝ่ายไหน พยายามจะติดตามข่าวสารการเมืองด้วยการฟังจากหลายๆ แหล่งข่าว ส่วนใหญ่ก็น่าจะเชื่อว่าทุกอย่างยังไม่แตกต่างไปจากเดิม
เพราะดูจาก “ตัวเลือก” ที่ถูกเสนอมาในรูปของพรรคการเมืองหรือโฉมหน้าของนักการเมืองที่เป็นข่าวคราวว่าใครย้ายไปไหนบ้าง ก็คงพอจะเห็นภาพว่า
การเมืองไทยยังไม่ได้ขยับไปข้างหน้าอะไรเลย
อาจจะมีการส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมากขึ้น อาจจะสวมเสื้อตัวใหม่ อาจจะมีการตั้งพรรคการเมืองใหม่กันมากมาย
แต่เนื้อหาและสาระของการเมืองยังย่ำอยู่กับที่
เสมือนคำเปรียบเปรยโบราณว่า “ยิ่งเปลี่ยนยิ่งเหมือนเดิม”
เพราะเมื่อโครงสร้างพื้นฐานของรัฐธรรมนูญและกติกาสังคมส่วนใหญ่ยังเหมือนเดิม
ในเมื่อระบบอุปถัมภ์ยังเป็นแนวทางหลักของสังคม
และความสามารถในการเชื่อมโยงกับอำนาจและบารมีเดิมๆ ยังเป็นตัวตัดสินว่าใครจะมีบทบาทอะไรอย่างไร
เราก็คงหวังความเปลี่ยนแปลงที่มีสาระสำคัญไม่ได้
เพราะแม้การกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เปิดกว้างขึ้น ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกมากขึ้น และเพื่อให้คำว่า “การมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน” มีความหมายในทางปฏิบัติอย่างจริงจังยังดูห่างไกลจากความเป็นจริง ดังนั้นเราจึงคงจะยังต้องหวังเพียงว่าสถานการณ์จะไม่เสื่อมทรุดลงมากกว่าเดิม
วัดได้จากการที่ดัชนี “ความสามารถในการแข่งขัน” ของไทยในเวทีสากลยังไม่กระเตื้อง
ตรงกันข้าม กลับทำท่าว่าจะร่วงหล่นลงมาตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบกับเพื่อนบ้านของเราบางประเทศ
เหตุเพราะเรายังไม่สามารถจะลงมือเขย่าระบบการศึกษาและการสร้างกลไกของการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะทันกับศตวรรษที่ 21 แต่อย่างใด
เมื่อเราไม่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเท่าเทียมในประเทศ เราก็ย่อมไม่อาจจะคาดหวังที่จะยกระดับความสามารถในการแข่งขันระดับสากลได้
นั่นคือ “จุดบอด” ของประเทศที่จะแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถยกระดับคุณภาพของ “คน” ในทุกวงการได้
ความหวังที่พอจะเห็นอยู่บ้าง ก็อาจจะอยู่ที่ว่านักการเมืองรุ่นปัจจุบันนั้นคงจะมีบทบาทโลดแล่นอยู่ในวงการการเมืองก็คงจะเป็นการเลือกตั้งรอบใหม่ในปีหน้านี้เท่านั้น
เพราะหลังจากรุ่นนี้แล้ว นักการเมืองที่หวังจะสร้างเนื้อหาและคุณภาพที่ตอบสนองเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการสาระและเนื้อหามากขึ้นต้องเป็นรุ่นต่อจากนี้ไป
นั่นคือนักการเมืองรุ่นกลางๆ และใหม่ๆ ที่เราเห็นอยู่ในยุคนี้ที่เริ่มจะเอาจริงเอาจังกับการนำเสนอนโยบายที่สะท้อนถึงความต้องการของคนไทยในยุคใหม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม
คำว่า “วาทกรรม” หรือ “บ้านใหญ่” และ “ระบบอุปถัมภ์” ที่เป็นหลักของการตัดสินใจว่าใครจะได้เข้ามาบริหารประเทศอย่างที่เป็นมาในสังคมไทยยาวนานนั้น จะเริ่มปรับเปลี่ยนในยุคหลังจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปีนี้ค่อนข้างจะแน่นอน
ทั้งนี้ เป็นเพราะโลกในยุคดิจิทัลที่กำลังมีผลกระทบต่อทุกสาขาวิชาชีพและทุกวงการสังคมวันนี้ไม่อนุญาตให้เราบริหารประเทศนี้แบบ “ตามมีตามเกิด” อย่างที่ผ่านมาได้อีกต่อไป
การปรากฏตัวของโซเชียลมีเดีย, การล่มสลายของมาตรฐานเก่า, การใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินแก้ไขปัญหาแทนที่จะใช้วิธีการตัดสินโดย “ผู้หลักผู้ใหญ่” หรือผู้มีตำแหน่งสำคัญๆ เท่านั้นกำลังจะหมดไป
แม้แต่สถาบันการเมือง เช่น รัฐสภา, รัฐบาล และ กลไกรัฐทั้งหลายทั้งปวง หากไม่ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีก็จะหมดความหมาย
ที่เคยเป็นการรวมศูนย์อำนาจเพื่อให้การตัดสินใจเกิดขึ้นได้เฉพาะจากยอดของพีระมิดของโครงสร้างการบริหาร (ทั้งภาครัฐและเอกชน) ก็จะถูกกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง
คำว่า “อาวุโส” จะไม่ได้นับกันที่อายุหรือตำแหน่งอีกต่อไป
หากแต่คุณภาพของการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับว่าใครมีข้อมูลที่แม่นยำและตรงเป้ามากกว่า
หรือใครที่ระบบการวิเคราะห์และออกแบบที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าจะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของสังคมในวันข้างหน้า
แม้แต่ระบบการเมืองก็จะถูกบังคับให้ต้องกระจายอำนาจและการตัดสินใจไปยังผู้คนในทุกระดับ
ไม่ว่าผู้ที่เชื่อว่าตนคือผู้กุมอำนาจในระบบเก่านั้นจะยอมรับความจริงอันน่าเจ็บปวดหรือไม่ก็ตาม
นั่นคือความจริงที่ว่า ถ้าคุณบริหารความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คุณก็จะถูกเปลี่ยนแปลงเสียเอง
ปีใหม่นี้จึงต้องไม่ใช่ปีแห่งกระต่ายตื่นตูม
หากแต่จะต้องเป็นปีกระต่ายที่ต้องปราดเปรียวคล่องแคล่ว และพร้อมที่จะรับความท้าทายไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดก็ตาม!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


