หลังรัฐบาลของนาฟทาลี เบนเนตต์ (Naftali Bennett) ประกาศยุบสภา เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย รอบนี้ต่างจากเดิม เพราะพรรคร่วมเป็นสายขวาจัด
ดินแดนปาเลสไตน์หดตัวต่อเนื่อง:
เป็นที่คาดหมายว่าเนทันยาฮูจะกลับมาเพื่อเรื่องตั้งถิ่นอาศัยในปาเลสไตน์ บรรดาพรรคที่สนับสนุนเรื่องนี้รวมตัวกันตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง เป็นเหตุผลที่พรรคขวาจัด (เป็นไซออนิสต์เหมือนกันแต่เข้มกว่า) ยอมจับมือร่วมรัฐบาลด้วย (ที่ผ่านมาแม้ได้ชื่อว่ายึดแนวไซออนิสต์เหมือนกันแต่จุดยืนวิธีการไม่ตรงกัน)

เครดิตภาพ: https://www.unrwa.org/sites/default/files/content/resources/unrwa_in_figures_2021_eng.pdf
นายกฯ เนทันยาฮู กล่าวว่า รัฐบาลชุดใหม่จะให้ความสำคัญกับการตั้งถิ่นฐานเป็นอันดับแรก พร้อมดูแลความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยในย่านนี้
ในบรรดาประเด็นอ่อนไหวทั้งหลาย เรื่องขยายดินแดนเป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญ บ้านที่อยู่อาศัยเป็นความจำเป็นพื้นฐานสืบเนื่องตั้งแต่ก่อตั้งรัฐสมัยใหม่เมื่อพฤษภาคม 1948 และยังคงสำคัญตราบเท่าที่ประชากรอิสราเอลเพิ่มขึ้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลลูกหลานเกิดใหม่หรือผู้อพยพต่างแดนที่ย้ายเข้ามาใหม่
ปัจจุบันชาวอิสราเอล 600,000-750,000 อาศัยอยู่ในเขตเวสต์แบงก์กับเยรูซาเลมตะวันออก ซึ่งผิดกฎหมายระหว่างประเทศแต่ไม่มีใครห้ามได้ มีแนวโน้มว่าจะกินพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์มากขึ้น
นายกฯ เนทันยาฮู กล่าวว่า การที่อิสราเอลกลับมาครอบครองเขตเวสต์แบงก์ไม่ผิด เพราะแต่เดิมดินแดนแห่งนี้เป็นของชนชาติอิสราเอลมาแต่โบราณ ไม่ได้บุกยึดหรือแย่งของใคร เช่นเดียวกับเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีอำนาจใดสามารถคัดค้านแม้กระทั่งสหประชาชาติ เยรูซาเลมคือ “Holy City of Jerusalem” ถ้อยคำเหล่านี้เนทันยาฮูพูดซ้ำทุกปี
ด้าน รัฐบาลไบเดนประกาศจะจับตานโยบายและการดำเนินนโยบายของอิสราเอล ทั้งนี้อาจเป็นเพราะรู้ดีว่า Religious Zionism Party ที่เป็นพรรคร่วมปฏิเสธแนวทางทวิรัฐ (Two-State Solution) การขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่อาจรุนแรงกว่ารัฐบาลก่อนๆ
ข้อวิพากษ์คือ แม้รัฐบาลสหรัฐสนับสนุนแนวทางทวิรัฐ หลายประเทศต่อต้านการรุกล้ำของอิสราเอลเรื่อยมา พวกอาหรับ อิหร่านต่อต้านอย่างรุนแรง แต่ความจริงคือพื้นที่ของปาเลสไตน์นับวันจะหดหาย ถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ต่อเนื่อง เป็นเช่นนี้เนิ่นนานจนผู้อพยพปาเลสไตน์ออกหลานเหลนในค่ายอพยพตามที่ต่างๆ และไม่เห็นวี่แววว่าจะได้กลับบ้านเกิดตัวเอง
สุดท้ายคำว่าทวิรัฐอาจเป็นเพียง “นโยบายโลกสวย” ที่ไม่เกิดขึ้นจริง กระทั่งศูนย์อพยพอาจเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำหากกองทัพอิสราเอลยาตราทัพเข้าประเทศเพื่อนบ้านแถวนั้น เพราะต้องการดินแดนเพิ่มเติมตามแนวทาง Greater Israel และทำให้อิสราเอลมีแต่ประชากรที่เป็นยิวหรือจงรักภักดีต่อรัฐบาลที่ยิวเป็นแกนนำ เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องปิดลับ เป็นนโยบายหรือแนวทางที่บางพรรคบางกลุ่มเอ่ยถึงตลอดเวลา ทั้งนี้จะค่อยเป็นค่อยไปตามยุทธศาสตร์ “ยึดทีละคืบกินทีละคำ” สร้างรัฐอิสราเอลที่เป็นของยิว
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเพื่อนบ้านด้วย โดยเฉพาะรัฐอาหรับ ประเทศที่พรมแดนติดกัน
จะล้ำเส้นต้องห้ามหรือไม่:
ปลายปีที่แล้วกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 (King Abdullah II) แห่งจอร์แดน เตือนรัฐบาลใหม่อิสราเอลไม่ล้ำเส้นต้องห้าม (red lines) ที่เกี่ยวกับสถานศักดิ์สิทธิ์ในเยรูซาเลม พรรคขวาจัดอาจชักนำให้รัฐบาลประกาศครอบครองสถานศักดิ์สิทธิ์ว่าเป็นของยิวเท่านั้น พระองค์ไม่อยู่เฉยแน่นอนหากอิสราเอลกระทำการไม่สมควร
พระองค์กังวลว่าจะเกิดการลุกฮืออีกครั้ง (intifada) ซึ่งเล็งถึงการลุกฮือต่อต้านการยึดครองเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาที่เคยเกิดในอดีต ตนพร้อมรับมือหากเกิดวันนั้น ย้ำว่าอิสราเอลจะเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคก็ต่อเมื่อชาวปาเลสไตน์อยู่อย่างมีอนาคต
อันที่จริงแล้วถ้าเนทันยาฮูคือตัวแทนของไซออนิสต์ (Zionism) ต้องเข้าใจต่อว่าพรรคลีคูต (Likud) ของเนทันยาฮูเป็นพรรคใหญ่สุด ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ มีพรรคที่ยึดแนวทางไซออนิสต์เข้มข้นยิ่งกว่า ที่เอ่ยถึงมากตอนนี้คือ Religious Zionist Party ซึ่งแต่เดิมไม่เป็นที่นิยมได้ไม่กี่ที่นั่ง เพิ่งจะได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ได้ถึง 14 ที่นั่ง (จากเดิม 6) แสดงถึงความนิยมชมชอบที่เพิ่มขึ้นมาก (พรรคลีคูตได้ 32 ที่นั่ง-บางคนแบ่งพรรคสายไซออนิสต์เป็นฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา และพวกกึ่งกลาง ต่างมีจุดยืนรายละเอียดต่างกันบางข้อ)
เนทันยาฮูเป็นนายกฯ มาแล้วหลายสมัย แนวนโยบายของท่านเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว แต่เมื่อรัฐบาลชุดใหม่มีส่วนผสมของไซออนิสต์เข้มข้นกว่าเดิม เป็นชาตินิยมเข้มข้น จึงน่าคิดว่ารัฐบาลใหม่นี้จะดำเนินนโยบายที่ขัดใจมุสลิมหรือไม่ จะยั่วยุยิ่งกว่าเดิมหรือไม่ ไม่แปลกที่หลายฝ่ายเตือนล่วงหน้าเพราะรู้จุดยืนของพรรคสุดโต่งเหล่านั้น คำถามสำคัญคือ “จะล้ำเส้นต้องห้าม” หรือไม่
ความสัมพันธ์กับอาหรับจะดีขึ้นหรือเลวลง:
นับตั้งแต่ก่อตั้งรัฐอิสราเอลสมัยใหม่ อิสราเอลเคยทำสงครามใหญ่ถึง 5 ครั้งกับเพื่อนบ้าน เพราะไม่ยอมรับการสถาปนารัฐอิสราเอล แต่เรื่องนี้กลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ เมษายน 2018 มกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน (Mohammed bin Salman) กล่าวว่า อิสราเอลมี “สิทธิ” เหนือดินแดนมาตุภูมิของตน คนยิวมีสิทธิแห่งการเป็นรัฐชาติ (nation-state) ที่อยู่ร่วมกับชนชาติอื่นโดยสันติ ซาอุฯ “ไม่มีปัญหากับคนยิว” ทั้งยัง “มีผลประโยชน์ร่วมกัน”
ความอีกตอนกล่าวว่า “ประเทศของเราไม่มีปัญหากับคนยิว ศาสดามุฮัมมัด (Muhammad) ของเราแต่งงานกับหญิงยิว ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อนแต่แต่งงานกัน เพื่อนบ้านของศาสดาก็เป็นพวกยิว ซาอุฯ ในปัจจุบันมีชาวยิวไม่น้อยทั้งจากอเมริกา ยุโรป”
ถ้อยคำของมกุฎราชกุมารซัลมานในตอนนั้นกำลังบ่งบอกว่ารัฐอิสราเอลกับอาหรับกำลังจะเป็นมิตร ละทิ้งความเป็นศัตรูคู่อาฆาต
สิงหาคม 2020 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กับอิสราเอลประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติตามข้อตกลง Abraham Accords Peace Agreement แถลงการณ์ร่วมระบุว่าเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ ก้าวย่างสำคัญของสันติภาพตะวันออกกลาง เดือนถัดมาบาห์เรนประกาศสถาปนาการทูตกับอิสราเอลเช่นกัน
เนื้อหาตอนหนึ่งใน Abraham Accord ระบุชัดว่า ทั้งอาหรับกับยิวต่างเป็นลูกหลานของอับราฮัม (Abraham) ความจริงแล้วภูมิภาคตะวันออกกลางประกอบด้วยมุสลิม ยิว พวกนับถือคริสต์ และผู้นับถือศาสนาความเชื่ออื่นๆ แม้แตกต่างแต่ปรารถนาอยู่ร่วมกัน (spirit of coexistence) ด้วยความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน
Abraham Accord คือรูปธรรมการปรับความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับอาหรับ เป็นจุดเริ่มหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ แต่หากวันใดอิสราเอลล้ำเส้นต้องห้าม สถานการณ์อาจเปลี่ยนไป
ถ้าเทียบอิสราเอลเมื่อสถาปนารัฐสมัยใหม่ 1948 กับปัจจุบัน ไม่อาจปฏิเสธว่าอิสราเอลมั่นคงขึ้นมาก สัมพันธ์กับเพื่อนบ้านดีขึ้นตามลำดับ เหลือเพียงอิหร่านที่ยังเป็นปรปักษ์สำคัญ มีการปะทะกันเนืองๆ ในซีเรีย พร้อมกับข่าวอิสราเอลจะโจมตีอิหร่านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (ที่เป็นข่าวซ้ำๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา)
Yair Lapid อดีตนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลชุดใหม่ไม่ยึดมั่นประชาธิปไตย ทำลายรากฐานสังคม ทำลายระบบการศึกษาเพราะเน้นแนวทางเคร่งศาสนาสุดโต่ง ทำให้กองทัพสังกัดการเมือง บรรจุนายพลที่อิงการเมืองเข้านั่งตำแหน่งสำคัญ เวสต์แบงก์จะปั่นป่วนวุ่นวาย สุดท้ายรัฐบาลชุดนี้จะจบอย่างเลวร้าย ทั้งยังกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มาจากเนทันยาฮู แต่มาจากพวกพรรคสุดโต่ง เป็นแผนของพวกเขาที่จะยืมมือเนทันยาฮู
ถ้อยคำข้างต้นเป็นข้อกล่าวหา ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่อนาคตจะเป็นผู้ให้คำตอบ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก
ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
การข่มขู่และโจมตีจริงของทรัมป์ 2.0
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว



