หรือ สี จิ้นผิง กำลังหันมาใช้ แนวทาง ‘ปฏิบัตินิยม’?

หากจีนปรับท่าทีทางการทูตให้ลดดีกรีของ “การทูตแบบนักรบหมาป่า” (Wolf Warrior  Diplomacy) อย่างที่นักวิเคราะห์บางสำนักกำลังนำเสนอ ก็น่าสนใจว่าปักกิ่งอาจจะกำลังเล่นบท “คนกลาง” ที่จะสร้างบรรยากาศใหม่สำหรับเวทีระหว่างประเทศ

แนววิเคราะห์นี้ไม่ได้หมายความว่า สี จิ้นผิง มีปัญหากับปูติน เพราะจีนกับรัสเซียยังคงรักษาระดับความสัมพันธ์หลักๆ ที่เป็นแกนของทั้งสองประเทศ

และทั้งสองฝ่ายก็รับทราบถึงความสำคัญของการดำรงไว้ซึ่งความผูกพันที่เป็นอำนาจต่อรองกับโลกตะวันตก แต่การ “reset” ลีลาท่าทางและน้ำเสียงทางการทูตของจีน ขณะที่ สี จิ้นผิง กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำเทอมที่ 3 นั้น มาจากการวิเคราะห์สถานการณ์ของจีนเอง ที่กำลังประเมินว่าจุดยืนกับผลประโยชน์ของชาติในภาวะความผันผวนของโลกขณะนี้นั้นอยู่ ณ จุดใด

ปักกิ่งคงเฝ้ามองสงครามยูเครนอย่างใกล้ชิดไม่น้อยไปกว่าประเทศตะวันตก

จีนก็คงจะวาด “ฉากทัศน์” ของสงครามเหมือนกับที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งตะวันตกและตะวันออกเฝ้าติดตามอยู่อย่างใกล้ชิด

ความเห็นส่วนตัว (ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม) ของเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของจีนบางคนสะท้อนว่า คนจำนวนหนึ่งรอบ ๆ สี จิ้นผิง ก็มีความไม่สบายใจกับวิธีการทำสงครามของปูติน

หนึ่งในฉากทัศน์ที่จีนมองก็คือ ความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะล้มเหลวในการมีชัยเหนือยูเครน

ซึ่งอาจจะทำให้รัสเซียกลายเป็น "มหาอำนาจรอง"  หรือ Minor Power อันหมายถึงการลดชั้นบทบาทและอิทธิพลของรัสเซียในเวทีระหว่างประเทศ

ไม่ว่าจะรักกันเพียงใด จีนก็ไม่อาจจะให้รัสเซียลากตนลงไปสู่ภาวะที่อำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศของปักกิ่งถูกลดทอนลง เพราะการมีส่วนพัวพันกับสงครามที่ยังมองไม่เห็นว่าจะจบลงอย่างไร

นักข่าว Financial Times ที่ไปนั่งคุย  “นอกรอบ” กับเจ้าหน้าที่อาวุโสของจีนบอก จากเจ้าหน้าที่ 5 คนที่รู้เรื่องนี้ ว่ามอสโกไม่ได้แจ้งให้ปักกิ่งทราบถึงความตั้งใจที่จะบุกยูเครนอย่างเต็มรูปแบบก่อนที่ปูตินจะสั่งโจมตี

มุมมองเช่นว่านี้ย่อมย้อนแย้งกับถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมที่ออกโดยจีนและรัสเซียเมื่อวันที่ 4  กุมภาพันธ์ หลังการประชุมระหว่างสีและปูตินในกรุงปักกิ่ง  (เพียง 20 วันก่อนที่รัสเซียจะโจมตียูเครน) ว่า "ไม่มีขีดจำกัดสำหรับความร่วมมือจีน-รัสเซีย และไม่มีโซนต้องห้าม”

บทสนทนาระหว่าง สี จิ้นผิง กับปูตินในโอกาสนั้นเป็นเช่นไรไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ จึงไม่อาจจะตีความให้แม่นยำอย่างที่ควรจะเป็นได้

แน่นอนว่าปูตินได้แจ้งกับจีนและประเทศอื่นๆ ว่ามอสโกจำเป็นต้องเปิด “ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน” ก็เพราะนาโตและตะวันตกมีจุดประสงค์จะใช้ยูเครนเป็นเครื่องมือบ่อนทำลายความมั่นคงของรัสเซีย แต่จีนก็คงจะเข้าใจได้หากปูตินหมายถึงการ “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ตรงชายแดนติดกับยูเครน หากทหารยูเครนข้ามเส้นมาก่อเหตุร้ายในดินแดนของตน

แต่ สี จิ้นผิง คงคิดไม่ถึงว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ที่ปูตินกล่าวถึงนั้น คือการบุกครั้งใหญ่เพื่อยึดดินแดนยูเครน จนกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา

Financial Times อ้างว่าหนึ่งในหลักฐานที่ตอกย้ำถึงความล้มเหลวของการสื่อสารระหว่างจีนกับรัสเซียในกรณีสงคราม คือการลดตำแหน่งในเดือนมิถุนายนของ Le Yucheng

เขาคือรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศ และผู้เชี่ยวชาญรัสเซียระดับสูงของกระทรวง

เดิมทีเขาได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงทางการของจีนว่า เป็นตัวเต็งในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศคนต่อไป

แต่วันนี้เขารั้งตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักงานวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ

 “Le Yucheng ถูกลดระดับอาวุโสลงสองขั้น” ผู้

คุ้นเคยกับประเด็นนี้กล่าว 

มีเสียงกระซิบในสภากาแฟรอบๆ กระทรวงว่าที่ต้องตกอันดับก็เพราะ Le Yucheng ต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลวด้านข่าวกรองว่าด้วยการบุกยูเครนของรัสเซีย”

เป็นความผิดฐาน “ตกข่าวใหญ่” ว่างั้นเถอะ

เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่าปูตินได้บอกกล่าวกับ สี จิ้นผิง เรื่องเปิดสงครามกับยูเครนอย่างไร

แต่นักการทูตจีนที่ต้องการฟื้นฟูสถานะของจีนในยุโรปยืนยันว่า ปักกิ่งไม่รู้ถึงแผนหรือความตั้งใจของมอสโกที่จะเปิดฉากการรุกรานเต็มรูปแบบอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีที่แล้วอย่างแน่นอน

จึงไม่ต้องแปลกใจกับทิศทางการ “ปรับ” นโยบายต่างประเทศของจีน ให้มาอยู่ในระดับที่ไม่ตกอยู่ในฐานะ “รู้ไม่ทันความผันผวน” อีกครั้งหนึ่ง

น่าเชื่อได้ว่าเป้าหมายของการปรับแก้นโยบายให้ลดความกร้าว และเจาะหาช่องทางที่จะสร้างมิตรหรืออย่างน้อยก็ลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์

มีเป้าหมายที่สำคัญคือ เพื่อลดความรู้สึกโดดเดี่ยวของจีน และป้องกันไม่ให้ยุโรปเข้าใกล้สหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น

หนึ่งในแผนการหลักของปักกิ่งคือ การพยายามสร้างความมั่นใจให้พันธมิตรในยุโรปว่าจีนยินดีที่จะใช้ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับมอสโกเพื่อยับยั้งปูตินไม่ให้หันไปใช้อาวุธนิวเคลียร์

เพราะจีนย่อมรู้ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้วไม่มีประเทศไหนอยากจะเห็นหายนะของสงครามนิวเคลียร์แน่

แต่จีนก็คงกลัวเหมือนที่หลายๆ ฝ่ายกลัว นั่นก็คือหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด (นั่นคือตะวันตกหรือรัสเซีย) ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดอย่างร้ายแรง (จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม)

จนถึงขั้นที่เปรียบเปรยว่าเป็นการ “เดินละเมอเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์” อันจะเป็นก้าวแรกของการนำไปสู่ “วันสิ้นโลก”

อีกด้านหนึ่งของกลยุทธ์ของปักกิ่งคือ การวางตำแหน่งตัวเองไม่เพียงแต่ในฐานะผู้มีศักยภาพในการเล่นบทเป็นผู้สร้างสันติภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นประเทศที่เต็มใจจะสวมบทเป็นประเทศร่วมฟื้นฟูยูเครนหลังสงครามอีกด้วย สี จิ้นผิง เองพยายามที่จะยกบทบาทของตนที่เป็นฝ่ายสันติภาพ จากถ้อยประโยคที่สนทนากับปูตินก่อนหน้านี้

 “หนทางสู่การเจรจาสันติภาพย่อมจะไม่ราบรื่น แต่ตราบใดที่ความพยายามไม่ล้มเลิก โอกาสแห่งสันติภาพก็จะยังคงอยู่”              

และเสริมต่อว่า “จีนจะยังคงรักษาจุดยืนที่เป็นกลางและเที่ยงธรรม ทำงานเพื่อรวบรวมประชาคมระหว่างประเทศ และมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการแก้ไขวิกฤตยูเครนอย่างสันติ”

อีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าจีนกำลังพยายามลดความเป็นปฏิปักษ์ต่อตะวันตกคือ การย้าย “จ้าว ลี่เจียน”  ซึ่งเป็นหนึ่งในนักการทูต "นักรบหมาป่า" ที่โดดเด่นที่สุด เขาถูกโยกจากตำแหน่งโฆษกของกระทรวงการต่างประเทศ ไปเป็น 1 ใน 3 รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการเขตแดนและมหาสมุทร ซึ่งเป็นแผนกที่มีบทบาทค่อนข้างคลุมเครือ

จ้าว ลี่เจียน มีผู้ติดตาม 1.9 ล้านคนบน Twitter  เขามักใช้สื่อโซเชียลมีเดียตะวันตก (ที่ถูกห้ามในเมืองจีน)  โจมตีฝั่งตะวันตกชนิด “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ภาพที่เห็นคือจีนพยายาม “ซ่อมแซม” ความสัมพันธ์กับมหาอำนาจยุโรป

ปักกิ่งยืนยันว่าพันธมิตรในยุโรปจะพยายามสร้างความสนิทชิดใกล้ด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

ต่างจากปักกิ่งกับวอชิงตันที่ยังแย่งชิงอำนาจต่อรองในเรื่องการค้า, การลงทุน และโลกเทคโนโลยีอย่างดุเดือด จีนย่อมตระหนักดีว่าตนไม่ควรจะเป็นปรปักษ์กับหลายประเทศในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเศรษฐกิจหลัก

จึงน่าสังเกตว่าจีนพยายามอย่างหนักที่จะติดต่อกับสหภาพยุโรปและประเทศสำคัญๆ ในยุโรป เช่น เยอรมนี  ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน ตลอดจนพันธมิตรในเอเชียของอเมริกา เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และพันธมิตรของสหรัฐฯ  เช่น เวียดนามเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์

โดยไม่ใช้หลักคิดแบบเก่าของผู้นำอเมริกาบางคนว่า :  ถ้าคุณคบคนที่ผมไม่ชอบ ก็แปลว่าคุณอยู่คนละข้างกับผม ต้องไม่ลืมว่าสหภาพยุโรปเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน และปักกิ่ง มีสถานะเกินดุลการค้าจำนวนมากกับกลุ่มประเทศนี้

ในทำนองเดียวกัน บริษัทชั้นนำของยุโรปหลายแห่งติดอันดับนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของจีนด้วย การต้องพึ่งพากันและกันระหว่างจีนกับยุโรปจึงชัดเจนอยู่ในตัว

การเยือนปักกิ่งในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาของโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี และชาร์ลส์ มิเชล  ประธานสภายุโรป ส่งสัญญาณไปในทิศทางนั้น

แต่ในช่วงต้นปีนี้เราจะเห็นการไปเยือนจีนของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอมมานูเอล มาครง และนายกรัฐมนตรีอิตาลี จอร์เจีย เมโลนีด้วย

ดังนั้น หากจะมองว่า สี จิ้นผิง กำลังขยับปรับเปลี่ยนแนวทางนโยบายต่างประเทศให้เข้าสู่หลัก “ปฏิบัตินิยม”  (Pragmatism) ที่ยึดเอาความเป็นจริงด้านเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของกันและกันมากกว่า “อุดมการณ์ทางการเมือง” หรือ “ความสนิทชิดเชื้อแต่ปางก่อน” ก็ไม่น่าจะผิดจากความเป็นจริงมากนัก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ

แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ

เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง

พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์

ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด

เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!

อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว