จาซินดา อาร์เดิร์น: ผู้นำต้องรู้เวลาที่ควรอำลา

หน้าตาและน้ำเสียงของ จาซินดา อาร์เดิร์น ขณะประกาศขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ มีร่องรอยของความขมขื่นและผิดหวังไม่น้อย

ผิดหวังที่ไม่สามารถเดินหน้าทำงานจนครบเทอม

และขมขื่นที่ต้องสารภาพว่า “หมดไฟ, หมดแรง”  เสียแล้ว

และทิ้งปรัชญาในฐานะผู้ฟันฝ่าอุปสรรคการบริหารประเทศมาเกือบ 6 ปีว่า

“ผู้นำที่ดีควรจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรอยู่ และเมื่อไหร่ควรจะไป”

สำหรับเธอนั้นเวลาที่จะไปมาถึงแล้ว...แม้จะก่อนกำหนดและสร้างความประหลาดใจให้แก่คนทั่วไปก็ตามที

เธอบอกว่าคนที่จะเป็นผู้นำประเทศจะต้องมีพลัง  “เต็มถัง” และยังต้องมี “พลังสำรอง” อีกจำนวนหนึ่งด้วย

เธอเล่าด้วยความปลาบปลื้มตื้นตันถึงความสำเร็จตลอดเกือบ 6 ปี "ที่ท้าทาย" และมีผลกระทบต่อชีวิตของเธอ

แต่ก็สารภาพว่ามาถึงตอนนี้เธอ "ไม่มีแรงพอ" ที่จะบริหารประเทศอีกต่อไป

การประกาศอำลาจากตำแหน่งของเธอสร้างความความแปลกใจแม้กับนักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล

เพราะไม่มีร่องรอยหรือเบาะแสมาก่อนเลย

แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ผลสำรวจความเห็นประชาชนระบุว่า พรรคกรรมกร (Labour Party) ของเธอกำลังเผชิญกับเส้นทางที่ยากลำบากในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 ต.ค.ปีนี้

ปีนี้ อาร์เดิร์นอายุเพียง 42 ปี และจะลงจากตำแหน่งภายใน 7 กุมภาพันธ์นี้

เธอย้อนความว่า ได้ใช้เวลาไตร่ตรองและประเมินอนาคตของตัวเองในช่วงพักผ่อนฤดูร้อน (ธ.ค.-ม.ค.) เพื่อตอบคำถามของตัวเองว่า ยังมีเรี่ยวแรงและพลังที่จะทำงานในตำแหน่งผู้นำประเทศต่อไปอีกหรือไม่อย่างไร

เธอบอกว่า ตอนแรกนั้นเธอหวังที่จะมีแรงกายแรงใจในการทำหน้าที่ผู้นำประเทศต่อไป

"แต่โชคไม่ดีที่ดิฉันกลับหาพลังนั้นไม่เจอ และดิฉันเชื่อว่าจะสร้างความเสียหายแก่นิวซีแลนด์หากอยู่ต่อ”

ผู้สืบทอดตำแหน่งจากเธอต้องได้รับเสียงสนับสนุนสองในสามของ ส.ส.พรรคเลเบอร์ทั้งหมด

หากได้ไม่ถึง พรรคจะเปิดให้สมาชิกพรรคทั่วประเทศได้เป็นผู้เลือก

นางอาร์เดิร์นกลายเป็นหัวหน้ารัฐบาลหญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลก เมื่อเธอได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในปี  2017 ด้วยวัย 37 ปี

และอีกหนึ่งปีต่อมา เธอกลายเป็นผู้นำโลกที่ได้รับการเลือกตั้งคนที่สองที่เคยให้กำเนิดบุตรขณะดำรงตำแหน่ง  ต่อจากเบนาซีร์ บุตโต จากปากีสถานในปี 1990

วิกฤตที่เธอต้องเผชิญในฐานะผู้นำนิวซีแลนด์ มีตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ตามมา

อีกทั้งยังมีเหตุการณ์กราดยิงที่มัสยิดในไครสต์เชิร์ช และการปะทุของภูเขาไฟที่เกาะไวต์

ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องหินๆ ที่เธอบอกว่าไม่ได้คาดคิดมาก่อนทั้งสิ้น

ตอนที่เธอต้องเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตนั้น โลกยกย่องเธอเป็นนักสู้กับความเกลียดชัง ด้วยความรัก ความเข้าใจ และความเด็ดขาด

ในด้านภูมิรัฐศาสตร์ เธอบอกว่าจำเป็นต้องประสานกับจีนที่กำลังรุกหนักมากขึ้นในภูมิภาคนี้

อาร์เดิร์นกล่าวว่า 5 ปีครึ่งที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ "เติมเต็ม" ที่สุดในชีวิตของเธอ

แต่การเป็นผู้นำประเทศในช่วง "วิกฤต" นั้นเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนัก

"เหตุการณ์เหล่านี้...บั่นทอนแรงกายแรงใจไปเยอะมาก แต่มันเกิดจากความหนักหนาของเหตุการณ์ ภาระที่มหาศาล และความต่อเนื่องของวิกฤตเหล่านี้ ไม่เคยมีช่วงเวลาใดเลยที่จะรู้สึกว่าเรากำลังบริหารประเทศได้อย่างปกติ"

เธอยืนยันว่าที่ลาออกนั้นไม่ใช่เพราะภารกิจที่ได้รับนั้นเป็นเรื่องยาก

“เพราะถ้าหากดิฉันท้อเรื่องยาก ก็คงจะลาออกตั้งแต่สองเดือนแรกที่เข้ารับตำแหน่งแล้ว”

หลังประกาศลาออก เธอได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งในและต่างประเทศ

แม้พรรคฝ่ายค้านก็ยอมรับว่าเธอเป็นนักการเมืองที่น่าชื่นชม

แม้โลกจะมองเธอเป็นดาวเด่นทางการเมืองระดับสากล แต่การสำรวจความคิดเห็นในประเทศชี้ว่า คะแนนนิยมของประชาชนชาวนิวซีแลนด์ต่อเธอลดต่ำลงเรื่อยๆ

ข้อนี้น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอตัดสินใจอำลา เมื่อต้องประเมินว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้

เธอนำพรรคเลเบอร์ไปสู่ชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งปี 2020 โดยชูความสำเร็จของการตอบสนองอย่างรวดเร็วของรัฐบาลของเธอต่อการระบาดของโควิด-19

แต่ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดพบว่า คะแนนนิยมในตัวเธอตกต่ำสุดนับแต่ได้รับการเลือกตั้ง และคะแนนนิยมของพรรคเลเบอร์ก็ตกลงเช่นกัน

ในปี 2022 นางอาร์เดิร์นบอกกับบีบีซีว่า ความนิยมที่ลดลงของเธอคือ “ราคาที่รัฐบาลต้องจ่าย” จากนโยบายปกป้องผู้คนให้ปลอดภัยจากโควิด-19

ปัญหาอื่นก็ถาโถมกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

เธอยังต้องเผชิญกับวิกฤตค่าครองชีพ ความกังวลต่ออาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น และสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้ช่วงหาเสียง แต่ยังทำไม่ได้ หรือถูกเลื่อนออกไปในช่วงที่มีการระบาดใหญ่

แต่อาร์เดิร์นย้ำว่า เธอไม่ได้ลาออกเพราะคะแนนของเธอและพรรคต่ำเตี้ยลงแต่อย่างใด

"ดิฉันไม่ได้ลาออกเพราะกลัวว่าเราจะไม่สามารถชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่เพราะดิฉันเชื่อว่าเราทำได้และจะตั้งใจ และเราต้องการคนหน้าใหม่สำหรับความท้าทายนั้น"

เธอยกตัวอย่างความสำเร็จของรัฐบาลที่เธอภาคภูมิใจเป็นพิเศษ เช่น นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  สวัสดิการที่อยู่อาศัย และการลดความยากจนในเด็ก

แต่เธอบอกว่า เธอคาดหวังว่าประวัติศาสตร์จะจดจำเธอว่า "เป็นคนที่พยายามมีเมตตาเสมอ"

"ดิฉันหวังว่าฉันได้ทำให้คนนิวซีแลนด์เชื่อว่า คุณสามารถเป็นคนมีเมตตาแต่เข้มแข็ง เข้าอกเข้าใจแต่มีความมุ่งมั่น มองโลกในแง่ดีแต่จดจ่อในเป้าหมาย และคุณสามารถเป็นผู้นำในแบบของคุณเองได้ เป็นคนที่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาไปก็ต้องไป"

เธอเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่กล้ากระโดดลงมารับความท้าทายที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

และเมื่อได้ทำงานที่ตั้งเป้าเอาไว้แล้ว ก็พร้อมจะประเมินตัวเองว่ายังจะสามารถรับใช้ประชาชนได้อย่างเต็มที่หรือไม่

เมื่อตอบตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่า “ได้เวลาอำลา” ก็ก้าวลงอย่างไม่คร่ำครวญหรือทวงบุญคุณ

แต่ยอมรับในสัจธรรมที่ว่าไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า

และคนที่เก่งกว่าเรายังมีอยู่มากมาย!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ