ถ้า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI ฉลาดขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างที่ผู้คนเริ่มพูดถึง Chat-GPT รุ่นปรับปรุงใหม่ คนอาชีพอะไรจะตกงานบ้าง?
วันก่อนผมเห็นมีใครตั้งคำถามนี้กับ GPT-4 และได้คำตอบที่สร้างความฮือฮาไม่น้อย
อาชีพที่เข้าข่ายจะถูกทดแทนโดย AI ได้อย่างน้อย 20 ตำแหน่งมีเช่น
เสมียนคีย์ข้อมูล
ตัวแทนบริการลูกค้า
พนักงานตรวจปรู๊ฟ
พนักงานบัญชี
นักแปล
นักเขียนข้อความโฆษณา
นักวิเคราะห์งานวิจัยการตลาด
ผู้จัดการโซเชียลมีเดีย
ผู้ช่วยจัดตารางงานผู้บริหาร
นักการตลาดผ่านคอลเซ็นเตอร์
ผู้ช่วยเสมือนจริง
นักถอดเทป
นักข่าว
เอเยนต์บริษัทท่องเที่ยว
ติวเตอร์
นักวิเคราะห์ฝ่ายสนับสนุนทางเทคนิค
นักการตลาดทางอีเมล
ผู้ประสานด้านสร้างเนื้อหา
นักจัดหางาน
บัญชี “คนอาจตกงานเพราะเอไอ” นี้ไม่ได้มาจากการวิเคราะห์ของมนุษย์
เป็นข้อมูลที่ GPT-4 ใช้ความเป็น AI ประมวลและวิเคราะห์ให้เรา ไม่ใช่เป็นความเห็นของมนุษย์เราเองจะแม่นยำและถูกต้องแค่ไหนมนุษย์ต้องเป็นผู้พิจารณาตัดสิน
แต่ก็ทำให้คนในอาชีพต่างๆ เหล่านี้ได้หนาวกันไปทั่วเช่นกัน เพราะเริ่มจะเห็นแนวโน้มแล้วว่าอะไรๆ กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ
ใครไม่ปรับตัว ไม่แสวงหาทักษะใหม่เพื่อทำอะไรได้มากกว่างานซ้ำๆ ที่ AI ทำได้ดีกว่าคน ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะตกงานแน่นอน
เพราะแม้ว่าวันนี้เจ้า GPT จะยังไม่ได้เก่งกาจฉลาดเฉลียวไปในทุกๆ อย่าง แต่นับวันมันก็ยิ่งจะ “ฉลาด” ขึ้น เพราะเมื่อมีข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเขียนโปรแกรมให้มันเรียนรู้ที่จะเรียบเรียง แยกแยะ และวิเคราะห์เนื้อหาสาระก็จะใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น
ถึงขั้นที่ผู้ที่ติดตามเรื่อง AI อย่างใกล้ชิดมาตลอดยอมรับว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคที่ AI “จะเปลี่ยนทุกสิ่งอย่าง” ในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่พร้อม และไม่ว่าเราจะพยายามสกัดกั้นมันอย่างไรก็ตาม
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 หรือเพียงแค่เกือบ 5 ปีที่แล้ว Sundar Pichai หัวหน้าผู้บริหารของ Google เคยเปรยเอาไว้ว่า
“AI อาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่มนุษยชาติเคยทำมา ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่าการค้นพบไฟฟ้าหรือไฟ”
ผมติดตามเรื่อง AI มาระยะหนึ่ง และเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่ไม่เชื่อว่าหุ่นยนต์จะมีทางเก่งกว่ามนุษย์
เพราะเราเชื่อมาตลอดว่าคอมพิวเตอร์จะเก่งกว่าคนได้อย่างไร ในเมื่อมันทำงานตามคำสั่งของคน
แต่วิวัฒนาการของ AI ที่สามารถป้อนข้อมูลจำนวนมหาศาลตลอดเวลากำลังสอนให้ “ปัญญาประดิษฐ์” มีความเก่งกาจ ตรงที่มันก้าวพ้นเพียงแค่การประมวลผลที่ป้อนเข้าไปเท่านั้น
แต่คำว่า Machine Learning และ Deep Learning มาจากการที่มันเรียนรู้ลึกลงไปแทนที่จะเพียงแค่กว้างขวางขึ้นเท่านั้น
เป็นที่มาของกูรูบางคนที่ตั้งคำถามว่า AI จะใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเปลี่ยนระบบจากที่จะมี "ผลกระทบขนาดใหญ่ต่อโลก" ไปเป็น "โลกที่เปลี่ยนแปลงจนแทบจำไม่ได้"
คำตอบที่น่าตกใจคือมันอาจจะใช้เวลาที่สั้นลงมากอย่างน่าอัศจรรย์
หากเดิมต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษ ต่อไปนี้อาจจะใช้เวลาเพียงเป็นปี และมิหนำซ้ำยังอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนเท่านั้น
บางคนแย้งว่าต่อให้เก่งแค่ไหน นักพัฒนาทั้งหลายก็อาจจะต้องชนกำแพงบ้าง และอะไรๆ ที่คาดว่าจะเกิดก็อาจจะไม่เกิด
เหมือนที่เคยเรียกขานกันว่าเป็น “ฤดูหนาวอันยาวนาน" หรือ The long winter ของ AI ในอดีต
แต่ต้องย้อนถามว่า “แล้วถ้าหากนักพัฒนาเหล่านั้นไม่ปะทะกำแพงล่ะ? ถ้าหากมีการค้นพบที่ต่อยอดขึ้นไปได้อย่างน่ามหัศจรรย์ล่ะ?”
ถึงตอนนั้นมนุษย์จะต้องช็อกตกเก้าอี้เลยหรือไม่
AI จะทำให้คนตกงานเป็นล้านๆ ไหม?
ความจริง นวัตกรรมของโลกได้ทำให้ตำแหน่งงานหดหายมาเรื่อยๆ ต่างกันเพียงความเร่งและผลกระทบที่เคยทยอยกันมาปราฏให้เห็นเท่านั้น
จึงจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่ในทุกๆ อาชีพ
ถามว่าเรามีเวลาปรับตัวนานเท่าไหร่?
คำตอบคือสั้นมาก
บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ต่างแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงความเหนือชั้นทางด้าน AI อย่างเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
สหรัฐฯ และจีนกำลังแข่งขันกันเป็นผู้นำด้าน AI
เงินทุนกำลังไหลเทเข้าสู่บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI
ใครที่บอกว่าเราควรจะชะลอตัวหรือหยุดยั้งการพัฒนา AI เพราะเรายังไม่รู้ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อเราเพียงใด ก็คงจะถูกแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว
เพราะถ้าบริษัทหนึ่งลดความเร็ว อีกบริษัทหนึ่งก็จะเหยียบคันเร่งทันทีเพราะเห็นช่องว่าง
ในทำนองเดียวกัน หากประเทศหนึ่งหยุดชั่วคราว ประเทศอื่นๆ ก็จะยิ่งกดดันมากขึ้น
ประเทศไทยเราเป็นผู้บริโภคเทคโนโลยี แต่ไม่ส่งเสริมการผลิตนวัตกรรมเอง
เราจึงกลายเป็น “ผู้ทันความเปลี่ยนแปลงเฉพาะในส่วนที่เป็นลูกค้าของผู้ผลิตที่เก่งกว่าเรา”
นั่นคือจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทย เพราะเรามีแต่การตั้งรับ แต่ขาดยุทธศาสตร์เชิงรุกในอันที่จะสร้างระบบและนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่จะมาทดแทนสิ่งที่ล้าสมัยในประเทศอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
คนไทยไม่ทำงานที่ใช้แรงงาน
แต่ก็ไม่เรียนรู้ทักษะที่สูงขึ้นให้ทันกับความต้องการของตลาดใหม่ที่ต้องการความสามารถที่ถูกยกระดับขึ้นมา
เราจึงตกอยู่ใน “กับดักรายได้ปานกลาง” จนถึงวันนี้ และก็ยังหาทางออกจากกับดักนี้ไม่ได้
เพราะเรา “ใช้เป็น” แต่ “สร้างเองไม่เป็น”
ถ้าเราคิดว่า GPT-4 และเวอร์ชันใหม่ๆ ที่กำลังจะออกมาเป็น “ภัยคุกคาม” นั่นก็เพราะเราไม่กล้าออกจาก “เขตคุ้นเคย” ของเรา
แต่ถ้าเราปรับวิธีคิดและปฏิบัติใหม่ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและเร่งร้อนที่เห็นอยู่นี้ เราก็จะยังสามารถขึ้นรถไฟขบวนต่อไปได้
แต่นั่นหมายถึงการเพิ่มความขยันและความพร้อมที่จะกระโดดเข้าสู่สนามการแข่งขันที่ดุเดือดและพลุ่งพล่านข้างหน้าให้จงได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


