เวียดนามรักษาดุลถ่วงระหว่าง จีนกับสหรัฐฯ อย่างไร?

ผมเขียนเรื่องจีน-สหรัฐฯ และอาเซียนมาหลายวัน วันนี้ส่องกล้องดูความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับเวียดนามที่กำลังเข้าสู่จุดที่น่าสนใจยิ่ง

เกิดคำถามในหมู่นักการทูตนานาชาติว่า เวียดนามจะขยับเข้าใกล้สหรัฐฯ แค่ไหน...เพื่อสกัดอิทธิพลจีน?

เพราะฮานอยกำลังถูกทั้งปักกิ่งและวอชิงตันกดดัน และโน้มน้าวให้เดินห่างจากอีกมหาอำนาจหนึ่งตลอดเวลา

ด้านหนึ่งเวียดนามกำลังเพิ่มความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ

แต่ก็เป็นการเพิ่มขึ้นที่มีขีดจำกัด

ขณะเดียวกัน เวียดนามก็มองจีนอย่างระแวดระวัง โดยเฉพาะด้านการเมืองและความมั่นคง

แม้ในด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการลงทุน ปักกิ่งกับฮานอยก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะกระชับให้แน่นหนาขึ้น

เพราะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

เมื่อหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เริ่มโทรศัพท์หาผู้นำในต่างประเทศเป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว ปรากฏว่าผู้นำเวียดนามเป็นเบอร์ต้นๆ ที่เขาต่อสายถึง

บทสนทนาของนายกฯ จีนกับนายกฯ เวียดนาม ฟาม มินห์ ชินห์ ย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนิน “ความสัมพันธ์แบบเพื่อนบ้าน” ระหว่างสองประเทศอย่างอบอุ่น

โดยกล่าวว่าทั้งสองประเทศควร “ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปเพื่อส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในเอเชีย-แปซิฟิก”

ก่อนหน้านี้ ฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้คุยโทรศัพท์กับนายบุ่ย แทงห์ เซิน รัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม ด้วยเนื้อหาและจุดเน้นที่ละม้ายคล้ายกัน

กิจกรรมทางการทูตระหว่างสองประเทศที่มีประวัติศาสตร์เชื่อมต่อกันทั้งด้านบวกและลบอย่างยาวนานนี้ เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ได้เพิ่มความสนใจต่อเวียดนามและอาเซียน

ที่เห็นได้ชัดคือ ทั้งข้อตกลงระหว่างประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และเหงียน ฟู้ จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

โดยมีเนื้อหาตอกย้ำถึงความสำคัญของการ “ส่งเสริม พัฒนา และกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

ผู้นำทั้งสองยังตอบรับคำเชิญให้ไปเยี่ยมเยือนซึ่งกันและกัน ซึ่งในภาษาการทูตมีความหมายมากไปกว่าเพียงการเชิญชวนด้วยมารยาทเท่านั้น

เพราะหากไม่สบอารมณ์กันก็จะไม่มีคำเชื้อเชิญแบบไปมาหาสู่กันเช่นนี้

ใครที่เกาะติดสถานการณ์ของสามประเทศนี้จะเห็นว่า เวียดนามกำลังพยายามรักษา “ความสมดุลแห่งผลประโยชน์” ของตนอย่างเต็มที่

ขณะที่คาดว่าจะยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ แต่เวียดนามพยายามหลบหลีกการที่วอชิงตันจะดึงเข้าสู่วงโคจรของอเมริกาเพื่อตอบโต้จีน

ผู้นำจีน สี จิ้นผิง พยายามจะย้ำถึงความจริงใจในการเชื่อมต่อกับเวียดนาม ด้วยการยืนยันว่าจีนจะสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงกับเวียดนาม

ปักกิ่งไม่ลดละที่จะขยายขอบเขตของการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านในเกมแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์กับวอชิงตัน

ซึ่งต้องยอมรับว่าได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงหลังนี้ อเมริกาได้เร่งฝีเท้าในการสร้างความเป็นมิตรกับฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้

นั่นคือยุทธศาสตร์สกัดการเติบใหญ่ของจีนอย่างปฏิเสธไม่ได้

เวียดนามซึ่งมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในทะเลจีนใต้ของเวียดนามย่อมมีความสำคัญเป็นพิเศษ

สหรัฐฯ ตระหนักประเด็นนี้ดี

ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาได้ส่งเรือตรวจการณ์ไปยังเวียดนามเกือบทุกปี

โดยในปี 2017 และ 2021 วอชิงตันได้ส่งมอบเรือระดับ Hamilton สองลำให้แก่ฮานอย

เรือชุดนี้เคยเป็นเรือประเภทใหญ่ที่สุดในหน่วยยามฝั่งของสหรัฐฯ

เชื่อกันว่าสหรัฐฯ จะส่งมอบเรือลำที่สามให้เวียดนามแล้วด้วยซ้ำไป

เรือเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ US Excess Defense Articles ซึ่งเสนอยุทโธปกรณ์ทางทหารส่วนเกินแก่พันธมิตรของสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนความพยายามในการปรับปรุงกองทัพและความมั่นคงให้ทันสมัย

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นักการทูตอาวุโสจากเวียดนามและสหรัฐฯ ได้ประชุมกันที่กรุงวอชิงตันเพื่อหารือด้านการเมืองและความมั่นคง        

ส่งผลให้สหรัฐฯ ยืนยันคำมั่นที่จะช่วยเวียดนามปรับปรุงขีดความสามารถทางทะเล และการบังคับใช้กฎหมาย

ความมั่นคงทางทะเลเป็นพื้นที่ที่มีจุดของความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ตามข้อมูลของ Collin Koh จากสถาบันการศึกษาด้านกลาโหมและยุทธศาสตร์ที่โรงเรียนการศึกษานานาชาติ S. Rajaratnam หน่วยยามฝั่งเวียดนามใช้งานยุทโธปกรณ์หลากหลายมากกว่ากองทัพ

และมีโอกาสริเริ่มระดับภูมิภาค ทำให้ “มีพื้นที่มากขึ้นในความร่วมมือยามชายฝั่ง” ระหว่างฮานอยและวอชิงตัน

 “เนื่องจากหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ มีความกระตือรือร้นที่จะเพิ่มกิจกรรมในอินโด-แปซิฟิก ขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็กำลังขยายกิจกรรมเรื่องนี้เหมือนกัน เราคาดหวังได้ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามเพิ่มขึ้นอีก” นักวิชาการด้านยุทธศาสตร์คนนี้บอก

เวียดนามยังย้ำเสมอว่า จะดำเนินนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่เป็นพันธมิตรกับประเทศอื่นที่จะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามกับอีกฝ่ายหนึ่ง

นักวิชาการจีนที่มหาวิทยาลัยจี่หนานในกว่างโจว ตั้งข้อสังเกตว่าความระแวงคลางแคลงที่ฝังลึกของเวียดนาม และข้อพิพาทด้านดินแดนในทะเลจีนใต้กับจีน กระตุ้นให้เวียดนามมีความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น

เขาบอกว่า ในการเมืองระหว่างประเทศนั้นสัจธรรมข้อหนึ่งก็คือ “ตบมือข้างเดียวไม่ดัง”

แต่นักวิชาการจีนก็วิเคราะห์ว่า เวียดนามก็คงจะรู้ดีว่าหากจะไม่ให้เกิดความตึงเครียดมากเกินไปสำหรับตน ฮานอยก็จะต้องประคับประคองสถานการณ์เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ยั่วยุ “เพื่อนบ้านทางเหนือ” มากเกินไป

ปฏิเสธไม่ได้ว่าฮานอยกำลังดำเนินนโยบาย “กระจายความเสี่ยงอย่างหลากหลายและเพิ่มความเป็นพหุภาคีมากขึ้น”

ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม  จ่อง บอกกับ ไบเดนว่า ทั้งสองฝ่ายควร “ยกระดับความสัมพันธ์”

ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า อดีตศัตรูทั้งสองอาจยกระดับความเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมซึ่งลงนามเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นยุทธศาสตร์หากมีการเยือนของผู้นำระดับสูง

แต่ขณะเดียวกัน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม "จ่อง" ยังแสดงความเคารพต่อจีนด้วยการมุ่งหน้าสู่ปักกิ่งไม่นานหลังจากที่ สี จิ้นผิง ได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เป็นสมัยที่สามเมื่อไม่นานมานี้

แต่ฮานอยอาจจะไม่เดินตามรอยผู้นำฟิลิปปินส์ ด้วยการอ้าแขนรับสหรัฐฯ อย่างเปิดกว้าง

เพราะฟิลิปปินส์เพิ่งจะเปิดไฟเขียวให้กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาใช้ฐานทัพใหม่สี่แห่ง

รวมถึงฐานทัพแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับน่านน้ำพิพาทในหมู่เกาะสแปรตลีย์ของทะเลจีนใต้ด้วย

ทำไมจึงเชื่อว่าเวียดนามจะไม่ขยับเข้าใกล้อเมริกามากเท่าฟิลิปปินส์

ข้อแรก ฟิลิปปินส์เป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญากับสหรัฐฯ ซึ่งผูกพันตามสนธิสัญญาป้องกันร่วมกัน

แต่เวียดนามไม่มีข้อตกลงเช่นนั้นกับวอชิงตัน

แม้ฝั่งอเมริกาจะมีความปรารถนาเช่นนั้น แต่เวียดนามยังไม่ตอบสนอง

 แต่ก็ไม่แน่

นักวิชาการจีนเชื่อว่า วันนี้เวียดนามอาจจะยังไม่สาวเท้าก้าวใหญ่เท่าฟิลิปปินส์ในกรณี้

 “...ยกเว้นจะเกิดกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผลักดันให้เวียดนามต้องทำเช่นนั้น”          

นั่นย่อมหมายความว่า ปักกิ่งต้องตระหนักในประเด็นนี้และไม่สร้างสถานการณ์ที่จะทำให้เวียดนามต้องตัดสินใจไปในเส้นทาง “ที่จำเป็นอย่างยิ่ง” ดั่งว่า!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ