
“เลอะเทอะ ถามกี่ครั้งก็จะตอบว่าเลอะเทอะ”
เนี่ย..คุณเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ตอบคำถามนักข่าวถึงกระแสข่าวสูตรในการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ
และ.. “เป็นสิทธิของเขา เพราะแต่ละพรรคก็มีแคนดิเดตนายกฯ แต่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ดังนั้นจะเรียกพรรคพลังประชารัฐว่าอะไรก็เรียกไป”
ก็..เป็นอีกคำตอบเมื่อถูกถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวจากพลังประชารัฐบอกว่านายกฯ คนที่ 30 คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เหมาะสมหรือไม่?
“ลองนับเลขดู เพราะเลขไม่ได้เป็นหลักล้าน ใช้แค่มือนับก็ได้แล้ว” ..คุณเศรษฐาทิ้งท้ายเป็นปริศนา
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ก็พอจะคาดหมายได้ เพราะคุณเศรษฐาไม่ใช่ขี้ๆ ในเพื่อไทย นอกจากเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” แล้ว ยังมีตำแหน่ง “ประธานที่ปรึกษาครอบครัวเพื่อไทย” ใหญ่โตอีกด้วย
ว่าแต่..คุณเศรษฐาจะกอด “ประชาธิปไตย” ไว้แค่เพียง 2 พรรค 8 พรรค ส่วนพลังประชารัฐและพรรคอื่นๆ จะผลักให้เป็น “เผด็จการ” ไปชั่วลูก-ชั่วหลานเหลนกระนั้นหรือ?
พอได้แล้วมั้ง ไหนๆ ก็เลือกตั้งผ่านพ้นกันมาในกติกา-รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน และทุกพรรคก็หาเสียง-ซื้อเสียงมาด้วยกัน จะงกเอาประชาธิปไตยไว้แต่เพียงฝ่ายเดียวได้ไง..หือ?
เออ..และที่ว่า “เลอะเทอะ” ก็อย่ามั่นใจให้มากไป ไม่ใช่ไร ประเดี๋ยวจะกลายเป็นตัวเองนั่นแหละเลอะเทอะเสียเอง!
ส่วนนั่นไม่เลอะเทอะ แต่ “รวยเละ” จะอะไรน่ะหรือ อ่านที่คุณทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยละกัน..
“ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้รับรายงานจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศว่า
ตั้งแต่เดือนมกราคม-วันที่ 16 มิถุนายน 2566 มีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยจำนวน 222 เรื่อง สร้างรายได้รวม 1,844.11 ล้านบาท
โดยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นโดยเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนจำนวน 12 เรื่อง และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 132.8 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้มีมาตรการส่งเสริมและผลักดันมาโดยตลอด
ทำให้ตั้งแต่ปี 2559 มีสถิติเพิ่มขึ้นทุกปี เฉพาะปี 2562 ประเทศไทยมีรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ 4,863 ล้านบาทจาก 740 เรื่อง
หรือแม้แต่ในช่วงสถานการณ์โควิดปี 2564 การถ่ายทำในไทยสร้างรายได้ 4,657 ล้านบาทจาก 121 เรื่อง
และในปี 2565 หลังจากนโยบายเปิดประเทศเต็มรูปแบบของรัฐบาล ทำให้มีภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทำถึง 346 เรื่อง สร้างรายได้สูงถึง 6,364 ล้านบาท
ความสำเร็จที่ประเทศไทยสามารถดึงดูดคณะถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในไทย ทำให้สถิติ 7 ปี (2559-2565) สร้างรายได้เข้าประเทศแล้วกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท
ซึ่งยังไม่นับผลประโยชน์ทางอ้อมและการส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์ที่ไทยได้รับ ทำให้ ครม.พล.อ.ประยุทธ์ได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566
สำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดคณะถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ ได้แก่
เพิ่มอัตราการคืนเงิน (Cash Rebate) จากเดิมร้อยละ 15-20 เป็นร้อยละ 20-30 เป็นระยะเวลา 2 ปี และเพิ่มเพดานการคืนเงินจากเดิม 75 ล้านบาทต่อเรื่อง เป็น 150 ล้านบาทต่อเรื่อง..
จากมติ ครม.ดังกล่าว เชื่อว่าจะช่วยดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ให้เข้ามาลงทุนถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น..”
เฮ้ออ..พอเถอะ เหนื่อยจะรับรู้ผลงานแล้ว!.
สันต์ สะตอแมน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘เด็กเสียนิสัย’?
“สงคราม” ..สนุกแต่เฉพาะในหนังฮอลลีวูด.. นอกจาก “ของจริง” ไม่ใช่เรื่องเล่น-เรื่องสนุก หรือเรื่องที่จะคุยโม้ โอ้อวด เพราะสนามสงคราม คือ “สนามแห่งความเป็น-ความตาย” ของชีวิต (จริง) เหล่าทหารกล้า!
‘ดิสนีย์แลนด์’..ฝันเก้อ?
แก้วตา...หันมาฟังพี่จะบอก เจ้าจงตั้งใจฟังไว้ให้ดี.. คืองี้..เหตุที่คณะกรรมการบริหารพรรคประชาชน และคณะกรรมการคัดสรรผู้สมัคร มีมติไม่ส่งคุณธิษะณา ชุณหะวัณ หรือ “แก้วตา” ลงสมัคร สส.กรุงเทพฯ ต่อนั้น..
เหลือไว้ความทรงจำ
สงครามมาพร้อมกับ “ซีเกมส์” แต่ด้วย “ซีเกมส์” เป็นการแข่งขันกีฬาของมวลมนุษยชาติที่จัดกันมาต่อเนื่องจนถึงครั้งที่ 33 ในปีนี้-2568
กาเหว่าที่บางเพลง
“มีผู้อ่านบางคนเข้าใจว่าผมจะได้มีความคิดทางการเมืองหรือทางอื่นๆ แอบแฝงไว้ในหนังสือเล่มนี้ เพื่อจะได้ชี้ให้ผู้อ่านเห็นในสิ่งที่ผมเห็นหรือคิดในสิ่งที่ผมคิด
‘ตอแหล’ ได้โล่!
“หน้าที่เรา รักษา สืบไป” เมื่อ..นายกฯ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ปลุกใจอย่างนี้ มีหรือที่คนไทยจะอยู่เฉย โดยเฉพาะ “กองทัพ” เหล่าทหารกล้า ก็ได้เปิดฉากแสดงศักดาแสนยานุภาพไปแล้วหลายชุด
‘พีระพันธุ์’ เปลี่ยนไป
“ผมพร้อมมานานแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ อย่างจริงจัง ใครที่ทนกับสิ่งยั่วยุไม่ได้ หรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เชิญออกไป ใครพร้อมเป็นลูกน้องนายทุน เชิญออกไป

