ฉากทัศน์ทางเศรษฐกิจกับการจัดตั้งรัฐบาล

ต้องยอมรับว่า สถานการณ์การฟอร์มทีมรัฐบาลดูเหมือนจะกลายเป็นยืดเยื้อไปเสียแล้ว แม้ว่าในขณะนี้พรรคอันดับ 1 อย่างก้าวไกลที่หมดสิทธิจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ได้ส่งไม้ต่อไปยังพรรคอันดับ 2 อย่างเพื่อไทย เพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว

แต่ดูเหมือนว่า การฟอร์มทีมรัฐบาลในขณะนี้ ไม่ง่าย เนื่องจากทุกฝ่ายกำหนดท่าทีของตัวเอง และกำลังนำพาไปสู่ทางตัน โดยเฉพาะการพลิกขั้ว สลับข้าง ที่แม้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น แต่กระแสเสียงของคนในสังคมก็ไม่ยอมรับเท่าไหร่ ดังนั้นจนถึงเวลานี้จึงยังไม่ชัดว่าเพื่อไทยจะเดินเกมอย่างไร ซึ่งต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิด แบบห้ามกะพริบตาเลยทีเดียว

แต่ในมุมของเศรษฐกิจ การไม่มีรัฐบาลเข้ามารักษาการ ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการบริหารเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยในมุมมองของภาคเอกชนหลายแห่งก็มีความกังวลว่า การตั้งรัฐบาลล่าช้าจะส่งผลต่อการบริหารของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า รวมถึงการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงแต่ละกระทรวงที่มีคิวจะเกษียณด้วย เพราะรัฐบาลรักษาการคงไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งนี่ถือเป็นอุปสรรคอีกประเด็นหนึ่ง รวมถึงยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องการรัฐบาลใหม่มาสานต่อ เช่น การส่งออกที่ลดลง การท่องเที่ยวที่ยังไม่เข้าเป้า

อย่างความเห็นของนักธุรกิจภาคส่งออก อย่างนายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ระบุว่า ทางผู้ประกอบการด้านการส่งออก และนักธุรกิจส่วนใหญ่ หวังให้การเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นโดยเร็ว หรือควรมีการโหวตให้เสร็จในการประชุมนัดถัดไปในวันที่ 27 ก.ค.นี้ เพื่อลดความขัดแย้งในประเทศลง

โดยมองว่า เรื่องการเมืองในประเทศเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องจับตามอง อยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องบรรลุข้อตกลงร่วมกันโดยเร็ว ไม่ว่าใครจะได้ตำแหน่งก็ขอให้เลือกโดยไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นมาภายหลัง เพราะเรื่องหลักที่ควรโฟกัสคือทุกคนจะต้องทำงานร่วมกัน เพื่อสู้กับปัจจัยภายนอกรุมเร้ากับเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐ และจีน เศรษฐกิจยังไม่ค่อยดี ยังติดลบอยู่หลายรายการ จึงอยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกันอย่างเร็วที่สุด

ส่วนประเด็นปัญหาแรกที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องเร่งเข้ามาแก้ไข ยังคงเป็นเรื่องของราคาพลังงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้

ที่ต้องฟังและประเมินอีกเช่นกันก็คือ เสียงจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย อย่างนายสนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ที่ระบุว่า สิ่งที่ภาคเอกชนโฟกัสในตอนนี้คือ จะทำอย่างไรให้ได้รัฐบาลใหม่รวดเร็วที่สุด ซึ่งเป็นโจทย์ที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง และประเมินว่าหากเกิดเหตุไม่คาดคิดหรือมีการแสดงออกทางการเมืองจนนำไปสู่ความรุนแรง ก็คงจะกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตได้ดี หลายครั้งที่จะเห็นสถานทูตหรือรัฐบาลแต่ละประเทศออกคำเตือนนักท่องเที่ยวในการเข้าออกประเทศที่กำลังเกิดสถานการณ์รุนแรง ซึ่งส่วนนี้จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง เอกชนจึงหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้และการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

หอการค้าฯ มองว่าการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ควรจะแล้วเสร็จในระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งยังเป็นช่วงเวลาที่ไม่ถือว่าช้าเกินไป โดยหวังว่าหลังจากนี้ทุกฝ่ายจะมีการหารือและทำความเข้าใจร่วมกันโดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อเนื่อง

หรืออย่างนักวิชาการเองอย่างอาจารย์อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังประเมินเอาไว้ว่า การตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้ามีผลต่อการส่งออก ซึ่งหากมีการตั้งช้ากว่าเดือนสิงหาคม มีโอกาสเรื่องของการส่งออกของไทยจะติดลบมากถึง 2.5% เลยทีเดียว

นี่คือความสำคัญของการมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เพราะส่วนหนึ่งเรื่องชีวิต ปัญหาปากท้องรอไม่ได้.

 

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หวังรัฐแก้ปมค้าชายแดน

การผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ดีนั้น จำเป็นต้องมองในทุกมิติและพัฒนาให้ครอบคลุม จะทิ้งใครหรืองานใดงานหนึ่งไว้ข้างหลัง จะเป็นตัวฉุดรั้งให้การเติบโตนั้นไม่ไปไหน

เร่งแก้ “แต่ไร้ผล”

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นประเด็นที่พูดถึงกันมานานหลายปี โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ที่เมื่อความกดอากาศสูง มีกำลังอ่อนลง และเมื่อลมสงบ ประกอบกับการผกผันกลับของอุณหภูมิในอากาศ จะส่งผลทำให้เกิดสภาพอากาศร้อนด้านบนกดทับอากาศเย็นเหมือนมีฝาครอบ

จับตาบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง

ช่วงนี้หลายคนกำลังสงสัยว่าเพราะเหตุใดค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าเอา อ่อนค่าเอา ตอนนี้ราคาหลุดทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว แม้จะมีการแกว่งตัวแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า

Digital Walletกระตุ้นค้าปลีกไม่แรง

“โครงการ Digital Wallet” เรียกว่ามีความชัดเจนจากฝั่งรัฐบาลพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไขทั้งในส่วนของประชาชนและร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการ รวมไปถึงแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความชัดเจนในส่วนนี้ก็ยังมีการตั้งคำถาม ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเร่งหาวิธีการเพื่อพิสูจน์ความชัดเจน และเดินหน้าโครงการตามขั้นตอนและวิธีการภายใต้กรอบของกฎหมายที่ได้ยืนยันมาโดยตลอด

อัปเกรดอุตฯเหล็กรับมาตรการCBAM

การเดินหน้ามาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) นั้น ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวอย่างมากของกลุ่มผู้ผลิต

'หนี้ครัวเรือน'แนวโน้มชะลอแต่สัดส่วนยังสูง

“หนี้ครัวเรือน” เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตา โดยจากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่ระบุว่า ภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท