ว่าด้วยราคาข้าวโลกที่พุ่ง และรสชาติทุเรียนไหหลำ

ช่วงนี้มีเรื่อง “ข้าว” และ “ทุเรียน” ในต่างประเทศที่โยงเกี่ยวกับเกษตรกรไทยอย่างน่าสนใจ

นั่นคือราคาข้าวในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบ 11 ปี

เพราะอินเดียสั่งห้ามส่งออกข้าวส่วนใหญ่เพื่อดูแลให้คนอินเดียมีข้าวกินในราคาที่เหมาะสม

และเพราะสงครามยูเครนทำให้ธัญพืชรวมถึงข้าวสาลีหดหายไปจากตลาดโลก

และมีเรื่อง “ทุเรียนไหหลำ” ที่จีนสามารถปลูกเองได้แล้ว...จะกลายเป็นคู่แข่งของทุเรียนไทยหรือไม่

รสชาติของทุเรียนไหหลำสู้หมอนทองของไทย หรือมูซานคิงของมาเลเซียได้หรือไม่

เรื่องราคาข้าวที่พุ่งสูงในตลาดโลกควรจะเป็นข่าวน่ายินดีสำหรับประเทศผู้ผลิตข้าวอย่างไทย

แต่คำถามใหญ่ก็คือว่า ชาวไร่ชาวนาผู้ผลิตข้าวของไทยจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มเช่นนี้จริงจังเพียงใด

และหากปรากฏการณ์เอลนีโญที่กำลังอาละวาดขณะนี้ ทำให้เกิดภาวะแล้งอย่างหนักในอีกหลายปีข้างหน้า รัฐบาลใหม่ของไทยเราจะมีแผนป้องกันปัญหานี้ไม่ให้กระทบเกษตรกรของเราอย่างไร

ข่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนบอกว่า ข้าวในกรุงเทพฯ ซื้อขายกันที่ 607.50 ดอลลาร์ต่อตันเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม โดยมาตรฐานพุ่งขึ้น 62.50 ดอลลาร์ในสัปดาห์

ทั้งนี้ ราคาที่พุ่งขึ้นเกิดขึ้นตั้งแต่อินเดียประกาศห้ามส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม

ข้าวในกรุงเทพฯ แตะราคาสูงสุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2555

กระทรวงกิจการผู้บริโภคของอินเดียแถลงห้ามการส่งออกข้าวส่วนใหญ่เพื่อ "ลดราคาและรับประกันว่ามีข้าวจำหน่ายในตลาดภายในประเทศ"

อินเดียเป็นผู้นำโลกในการส่งออกข้าวในฤดูกาลเพาะปลูกปี 2565-2566 ด้วยปริมาณ 22.5 ล้านตัน หรือ 40% ของทั้งหมดทั่วโลก

ไทยเราติดอันดับสองที่ 8.5 ล้านตัน

สภาวะเอลนีโญกลับมาอีกครั้งในรอบ 7 ปี ทำให้เกิดความเสี่ยงว่าการผลิตข้าวจะลดลงในทุกประเทศผู้ผลิต

เป็นความกังวลที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและจริงจัง

ราคาข้าวสาลีพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน หลังจากมอสโกยกเลิกข้อตกลงเมื่อเดือนที่แล้วที่อนุญาตให้ส่งออกธัญพืชของยูเครนผ่านทะเลดำ

ขณะเดียวกันรัสเซียยังได้เพิ่มการโจมตีทางทหารต่อเมืองโอเดสซา ซึ่งเป็นท่าเรือส่งออกธัญพืชที่ใหญ่ที่สุดของยูเครน

ราคาข้าว ข้าวสาลี และพืชผลอื่นๆ พุ่งสูงขึ้นในช่วงวิกฤต การกลับมาของภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดต่อประเทศเกิดใหม่ในแอฟริกาและที่อื่นๆ ที่ยากจนและต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารเป็นอย่างมาก

ในสถานการณ์ดังกล่าว ประเทศเหล่านี้จะขาดเงินตราต่างประเทศที่จะนำเข้าอาหารอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานจากความอดอยาก

อีกเรื่องหนึ่งคือ จีนเริ่มผลิตทุเรียนของตนเองได้แล้วที่เกาะไหหลำ (หรือไห่หนาน)

ไทยเรากำลังจะเจอคู่แข่งหรือไม่

ที่สำคัญคือรสชาติเป็นอย่างไร

การเก็บเกี่ยวทุเรียนครั้งใหญ่ครั้งแรกของจีนที่หลายคนรอคอยเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

นักข่าวชื่อ Shea Driscoll บรรณาธิการดิจิทัลจากสื่อ South China Morning Post ซึ่งเป็นนักกินทุเรียนทั้งจากไทยและมาเลเซีย บอกว่าเขาขอ “รีวิว” ทุเรียนไหหลำด้วยตนเอง

ข้อสรุปของเขาคือ “ยังไม่น่าประทับใจนัก”

เขาบอกว่ารสชาติและกลิ่นของทุเรียนไหหลำเป็นเพียง “ภาพจำลองจางๆ ของทุเรียน”

พอเคี้ยวลงไปก็รู้สึกว่าเนื้อทุเรียนที่สัมผัสนั้น “ชวนให้นึกถึงกล้วยที่ยังไม่สุก”

นักข่าวคนนี้บอกว่าเขาเป็น “แฟนตัวยงของทุเรียน" ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีผู้คนทั้งชอบและไม่ชอบมากมาย

เพราะความเป็นคนบ้าทุเรียนนี่เองที่ทำให้เขาบอกว่า “ผมน่าจะเป็นคนที่เหมาะที่สุดที่จะรีวิวรสชาติ กลิ่นและคุณภาพ” ของทุเรียนไห่หนานที่เก็บเกี่ยวกันครั้งใหญ่และครั้งแรกของจีน

เขาบอกว่าทุเรียนไหหลำหรือไห่หนานชุดแรกนี้ มีผลผลิตออกมาค่อนข้างน้อยและราคาค่อนข้างสูง

 “แต่เพื่อนร่วมงานของเราที่เซินเจิ้นก็อุตส่าห์สั่งซื้อทุเรียนได้สองลูก และอีกลูกหนึ่งส่งไปยังสำนักงานใหญ่ที่ฮ่องกงของเรา"

เขายอมรับว่าในขั้นต้นเขาไม่ได้คาดหวังกับทุเรียนจีนมากนัก

 “ผมไม่คาดว่าจะได้รสชาติแบบความขมของมูซานคิง (เหมาซานหวาง) ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธุ์ทุเรียนที่แพงที่สุดในตลาดจีน...”

เขาบอกว่าได้เพื่อนร่วมงานที่มีทักษะพิเศษเป็นการเฉพาะที่ประเมินค่าไม่ได้ ในการฉีกทุเรียนที่ไม่บุบสลายด้วยกรรไกรคู่เล็กๆ

 “ผมยังคุยอีกว่าต้องลองพยายามฉีกทุเรียนด้วยการใช้ตะเกียบเพียงอันเดียวหรือเปล่า...”

พอได้ชิมทุเรียนไหหลำลูกแรก น้ำหนัก 4 กก. (8.8  ปอนด์) เขาก็พิพากษาเลยว่า

 “น่าผิดหวัง”

แล้วเขาก็บรรยายอย่างละเอียดว่า

 “ประการแรกคือเรื่องกลิ่น...ทุเรียนมีกลิ่นแรงมากจนถูกห้ามใช้บริการขนส่งสาธารณะในหลายพื้นที่ แม้แต่ในสิงคโปร์ที่มีแดดจัด ไม่ว่าคุณจะชอบหรือเกลียดมัน มันก็จะส่งกลิ่นคละคลุ้งไปได้ไกลแสนไกล..."

 “ประเด็นต่อมาคือเรื่องสีของเนื้อ ซึ่งก็สรุปได้ว่าสีของทุเรียนไหหลำค่อนข้างซีด เพราะมันมีสีเหลืองอ่อนซึ่งห่างไกลจากสีทองเข้มของทุเรียนดีๆ"

 “ตกลงรสชาติเป็นอย่างไร? คำตอบของผมคือไม่เข้มข้นเพียงพอ"

 “แท้จริงแล้วมันมีรสชาติที่อ่อนโยนพอๆ กับกลิ่นของมัน แม้ว่าทุเรียนที่เหมาะสมจะต้องสร้างความรู้สึกเต็มอิ่มในเพดานปาก แต่ทุเรียนลูกนี้มีรสชาติแบบจางๆ"

สรุปว่านักข่าวฮ่องกงคนนี้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า

 “เนื้อแห้ง แข็ง กลิ่นและรสชาติเบาบางเกินไป”

ส่วนเนื้อของมันมี “ความมันแบบครีม” เพียงเล็กน้อย ชวนให้นึกถึงกล้วยที่ยังไม่สุก

ให้ความรู้สึกเหมือนทุเรียน 0.5

คงต้องใช้เวลาในการพัฒนามากขึ้นเพื่อให้ได้กลิ่น เนื้อสัมผัส และรสชาติที่เหมาะสม

ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าทุเรียนไทยจะประมาทได้ เพราะนี่เป็นเพียง “ทุเรียนไหหลำ” รุ่นแรกเท่านั้น

เขาจะต้องพัฒนาสายพันธุ์ต่อไปอย่างเร่งร้อนเพราะความต้องการของตลาดจีนมีสูงมาก

ทุเรียนไทยจะต้องยกระดับและพัฒนาตนเองต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

เพราะคู่แข่งกำลังมาจากทุกทิศทุกทาง!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ