เปลี่ยนรันเวย์!

เปลี่ยนรันเวย์กันชนิด 360 องศา สำหรับเหล่าบรรดา "สีกากี" นักวิ่งเต้น หลังวงประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มานั่งหัวโต๊ะประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 9/2566 ถอนวาระการคัดเลือกแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่ และถอนวาระการแต่งตั้งระดับ รองผบ.ตร.-ผบก.ออกไปก่อน ด้วยเหตุผลให้เป็นไปตามธรรมาภิบาล เมื่อมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีรัฐบาลใหม่ มีการถวายสัตย์ปฏิญาณเสร็จเรียบร้อย ถึงค่อยมาทำบัญชีแต่งตั้ง "นายพลสีกากี" โดยวงประชุม ก.ตร.ได้ขอขยายเวลาการแต่งตั้ง "นายพล" ออกไปถึงวันที่ 30 ก.ย. จากเดิมตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ กำหนดให้การแต่งตั้ง "นายพล" ทุกระดับในวาระประจำปี ต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ส.ค.

รวมทั้งรายชื่อข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร.-ผบก. ที่ได้มีการพิจารณาผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองไปแล้วเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ก็จะต้องมีการประชุมพิจารณาใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ได้ผู้ที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่ง เว้ากันแบบซื่อๆ คือ "ล้างกระดาน" ทำบัญชีแต่งตั้งใหม่ คนที่วิ่งรันเวย์ใกล้หมดอายุ ก็ต้องเลี้ยว 360 องศา มาหารันเวย์ใหม่ที่กำลังสดใสซาบซ่า

แม้จะไม่มีการยืนยันกำหนดนัดประชุม ก.ตร.รอบใหม่ ที่ประธาน ก.ตร.จะเปลี่ยนหน้ามาเป็น เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีป้ายแดง แต่คาดกันว่าฤกษ์งามยามดีน่าจะเป็นวันที่ 22 ก.ย. เพียงแต่การเข้าร่วมประชุม ก.ตร.ครั้งแรกของ "นายกฯ เศรษฐา" จะทำวาระแต่งตั้ง "นายพลสีกากี" เลยหรือไม่ หรือแค่เข้ามาทักทายทำความรู้จัก ก.ตร.กันก่อน หรือจะทำแต่งตั้งแค่เก้าอี้ "ผบ.ตร." ที่ชื่อน่าจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่น่าจะหนีไปจาก บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เต็ง 1 ที่พร้อมในทุกๆ ด้าน แล้วค่อยนัดประชุมแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร.-ผบก.ก็เป็นไปได้ หรือประชุม ก.ตร.ครั้งแรกจะลากยาวทำบัญชีแต่งตั้ง "ผบ.ตร." และ รองผบ.ตร.-ผบก.แบบรวดเดียวจบไปเลยก็ได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ "นายกฯ เศรษฐา" แต่ถ้าใช้การแต่งตั้งแบบ 2 ขยัก ปลายเดือน ก.ย.แต่งตั้ง "ผบ.ตร." แล้วลากยาวแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร.-ผบก.ข้ามไปเดือน ต.ค. ซึ่งในประวัติศาสตร์ "ตำรวจ" ก็เคยลากไปทำสมัยวาระปี 2554-2555 ถ้าชอยซ์นี้เกิดขึ้นจริงๆ ก็คงต้องซับน้ำตาหนุ่มเหนือวัยเกษียณละคราวนี้

นอกจากหนุ่มเหนือวัยเกษียณจะหนาวแล้ว "ผบช." ที่เคยมีชื่อในโผแต่งตั้ง "นายพล" ชุดที่กำลังจะเสนอให้วงประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 9/2566 ต่างก็ต้องหนาวสะท้านกันเป็นแถว โดยเฉพาะระดับ "ผบช." ทั้ง พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 โยกเป็น ผบช.สตม., พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ประจำสำนักงาน ผบ.ตร. เป็น ผบช.ภ.1, พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สนง.ผบ.ตร. ขยับเป็น ผบช.ภ.2, พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย จเรตำรวจ (สบ 8) หัวหน้าจเรตำรวจ ไปเป็น ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รอง ผบช.ภ.5 เลื่อนเป็น ผบช.ภ.5, พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค. เป็น ผบช.ภ.6, พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. เป็น ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รอง ผบช.ภ.9 ขึ้นเป็น ผบช.9, พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.สกพ. โยกเป็น ผบช.สพฐ.ตร. ที่มีรายชื่อในโผนี้ ไม่รู้โผหน้าจะยังมีชื่อเหล่านี้หลงเหลืออยู่กี่คน

แอร์เสียจริงไม่จริงไม่มีใครรู้ แต่ดูเหมือนการที่แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ออกมาบอกถึงการเข้ารักษาตัวของ "ทักษิณ ชินวัตร" นักโทษชายที่กรมราชทัณฑ์ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลตำรวจแบบเร่งด่วนในช่วงกลางดึก หลังมีอาการแน่นหน้าอกกะทันหัน ค่าออกซิเจนต่ำและค่าความดันโลหิตสูงมาก ด้วยการเข้ารักษาตัวที่ ชั้น 14 หอผู้ป่วยพิเศษระดับสูง อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ ห้อง 1401 หรือห้องรอยัลสูท จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าได้พักห้องหรู มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่น ด้วยการอ้างว่า "เดิมชั้นที่ 14 ใช้เป็นพื้นที่กักตัวผู้ป่วยโควิด-19 มาก่อน ปัจจุบันเป็นห้องพักผู้ป่วย แต่เครื่องปรับอากาศใช้งานไม่ได้ มีเพียงพัดลมระบายอากาศ และห้องพักของนายทักษิณ ไม่ได้อยู่ฝั่งที่มองเห็นทัศนียภาพ ราชกรีฑาสโมสร เนื่องจากฝั่งดังกล่าวติดกระจก อากาศร้อน" ยิ่งทำให้หลายคนคลางแคลงใจ แม้ "น.ช.ทักษิณ" จะเป็นนักโทษ แต่ก็เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี จะมาพักรักษาตัวในห้องที่ไม่มีแอร์ มีเพียงพัดลมระบายอากาศจริงหรือ

ส่วน "โผทหาร” นายกฯ ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะประชุมบอร์ดปรับย้าย เห็นชอบตามที่ ผบ.เหล่าทัพปัจจุบันเสนอขึ้นมา หลังจากมีการพูดคุยเรื่องข้อมูลและเหตุผลกันหอมปากหอมคอ ทำให้สองตำแหน่งที่แกว่งมาตลอดนั่นก็คือ ผบ.ทร. กับ ผบ.ทอ. สรุปแบบม้วนเดียวจบ ในที่สุด พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล (ตท.24) ผช.ผบ.ทอ. ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทอ. เบียดแทรกแผง ตท.23 ที่เป็นแคนดิเดตทั้ง 3 คน เฉือน พล.อ.อ.ชานนท์ มุ่งธัญญา (ตท.23) รอง ผบ.ทอ.ที่อาวุโสสุดในแผง 5 เสืออากาศ ถือว่าครั้งนี้เป็นคู่ชิงแบบสูสี เพราะศักยภาพของมือทำงานที่ทุกคนยอมรับด้วยกันทั้งคู่ แต่นั่นก็เป็นทางเลือกที่ พล.อ.อ.อลงกรณ์ วัณณรถ ผบ.ทอ.สามารถให้น้ำหนักในการเลือกได้มากกว่าคนอื่น และเป็นทางลงของปัญหาที่นิ่มนวลที่สุด ขณะที่ “กองทัพเรือ” หวยไปออกที่ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม (ตท.23) ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) ซึ่งนับเป็น ผบ.กร.คนแรกในรอบ 30 ปีที่ทะลุขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ทร. เนื่องด้วยสมการ 1 ปีทำให้ได้เปรียบอีก 2 แคนดิเดท จนกลายเป็น “ตาอยู่” หลังจากมีสงครามภายในสู่ภายนอกช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เป็นการพักยกสงบศึกไว้ก่อน ค่อยไปว่ากันปีหน้า

ขณะที่ “กองทัพบก” เรียกได้ว่า “กรุ่น” มากกว่าที่คิด เมื่อโผ 5 เสือมีการขยับปรับทัพแบบคานอำนาจกันสุดๆ โดยเฉพาะ “ซูเปอร์บิ๊ก” 2 สาย นอกรั้วแดงกำแพงเหลือง ชิงวางคนของตัวเองในตำแหน่ง “ไฮไลต์” ของกองทัพ ปฏิบัติการตรึงคอแดงในหน่วยกำลังรักษาพระนคร เกิดเป็นเรื่องที่เหมือนจะจบแต่ไม่จบ เมื่อชื่อของ พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ (ตท.26) แม่ทัพน้อยที่ 1 ขึ้นเป็น แม่ทัพภาคที่ 1 โดยมี พล.ต.อมฤต บุญสุยา (ตท.27) รองแม่ทัพภาคที่ 1 ไปเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 โดย พล.ต.วรยส เหลืองสุวรรณ รองแม่ทัพ และแผง ตท.28 ก็ต้องเข้าแถวรอไปก่อน ส่งผลให้โผที่เข้าบอร์ด 7 เสือ กห.มีชื่อ พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ (ตท.24) ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. เข้ามาเป็น ผช.ผบ.ทบ. ด้วยการให้เหตุผลย้อนตรรกะ เรื่องความชอบธรรมของคนที่เคยถูกข้ามหัวมาก่อน ขณะเดียวกันก็ให้ พล.ท.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) แม่ทัพภาคที่ 1 ที่เดิมมีชื่อในโผเป็น ผช.ผบ.ทบ. ไปเป็น เสธ.ทบ.แทน แล้วดัน พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ (ตท.24) เสธ.ทบ. เป็น ผช.ผบ.ทบ. สรุปจบปิดเกมการวางหมากของตำแหน่งใน 5 เสือ ทบ. และกองทัพภาคที่ 1 รอบนี้ เรียกได้ว่าเป็นการวัดพลังของ “ซูเปอร์บิ๊ก” ที่ไม่ยอมเพลี่ยงพล้ำกันทุกตาเดิน จึงน่าสนใจว่ากองทัพบกในมือของ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ (ตท.23) ว่าที่ ผบ.ทบ. จะส่งไม้ต่อได้อย่างราบรื่นในปลายนี้ได้หรือไม่ หรือมีเหตุให้ต้องลุ้นเรื่องร้อนๆ ต่อไปอีก

ขณะที่แม่ทัพภาคที่ 3 พล.ท.สุริยะ เอี่ยมสุโร แม่ทัพภาคที่ 3 คนปัจจุบันยืนยันชื่อของ พล.ต.ประสาน แสงศิริรักษ์ (ตท.24) ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 คุมพื้นที่ภาคเหนือและชายแดนไทย-เมียนมา แม้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ จะหนุน พล.ต.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน ก็ตาม แต่เมื่อ “เพื่อนนุ่น” พล.ท.สุริยะ ยืนยันมาก็ต้องไฟเขียวผ่านตลอด ส่วนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 มีการปรับเปลี่ยนชื่อเป็น พล.ต.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ (ตท.26) รองแม่ทัพ ขึ้นเป็นแม่ทัพ หลังจากที่ พล.ท.สวราชย์ แสงผล แม่ทัพคนปัจจุบัน เสนอชื่อ พล.ต.บุญสิน พาดกลาง รองแม่ทัพอีกคนขึ้นไป จึงนับเป็นการกลับมาของสาย พล.ร.6 หลังจากสาย พล.ร.3 ขึ้นเป็นแม่ทัพมาหลายคน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าอภินิหาร “หลวงพ่อเยิ้ม” พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกวุฒิสภา อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2 ยังพอมีอยู่ ได้ส่งผ่านข้อมูลไปถึง “ลุงตู่" ไม่เท่านั้นยังมีแรงหนุนจากหลายสาย โดยเฉพาะนักการเมืองสายบุรีรัมย์ ที่เรียกได้ว่าเป็น “เกลอซี้ย่ำปึ้ก” กันมาอย่างยาวนาน ส่งพลังใจมาช่วยด้วยอีกแรง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'บิ๊กต่าย' ชี้ตำรวจไซเบอร์ยังต้องทำงานหนัก แม้ภาพรวมจับเว็บพนันได้เยอะขึ้น

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังไม่พอใจผลการปฏิบัติงานของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ก.ตร. ไฟเขียวแต่งตั้ง 43 นายพลสีกากี 'สุรพงษ์ ชัยจันทร์' ผงาดที่ปรึกษาพิเศษตร.

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เป็นประธานเพื่อประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 3/2567 โดยมีวาระการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ

ไฟไหม้ห้องทำงาน รองผอ.รร.เมืองตลุงพิทยาสรรพ์  คาดอากาศร้อนทำเบรกเกอร์ช็อต

เกิดเหตุไฟไหม้ห้องรอง ผอ.โรงเรียนมัธยม อ.ประโคนชัย  จ.บุรีรัมย์ ลามไหม้ห้องวิชาการ  เสียหายทั้ง 2 ห้อง  ตรวจสอบพบเบรกเกอร์เครื่องปรับอากาศในห้องรอง ผอ. มีรอยไหม้ คาดไฟฟ้าลัดวงจร บวกกับอากาศที่ร้อนจัด

สายหื่นระวัง 4 ภัยมิจฉาชีพหลอกให้ตกเป็นเหยื่อ

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน