เมื่อเวียดนามลุยปลูกข้าว คาร์บอนต่ำ, ไทยเราอยู่ไหน?

ข่าวที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยมาจากเวียดนามหลายเรื่อง

หนึ่งในนั้น ล่าสุดมีเรื่องของโครงการข้าวคาร์บอนต่ำของเวียดนาม (Vietnam’s Low-Carbon Rice Project หรือ VLCRP)

เป็นโครงการที่พยายามที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเพาะปลูกข้าวอย่างมีนัยสำคัญ

การปลูกข้าวของเวียดนามมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 30% ของก๊าซเรือนกระจกโดยรวมของเวียดนาม

โครงการนี้นอกจากจะแก้ปัญหาเรื่องโลดร้อนแล้วก็ยังมุ่งยกระดับความเป็นอยู่ของชาวนาข้าว

ด้วยการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตด้วย

และให้เกษตรกรมีรายได้เสริมด้วยการขายคาร์บอนเครดิต

นั่นแปลว่าไทยเรามีเรื่องต้องห่วงและลงมือแก้ไขอย่างจริงจังหลายเรื่องร้อน ๆ ทีเดียว

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศเตือนว่าเวียดนามกำลังเร่งแผนการผลิต “ข้าวคาร์บอนต่ำ” เพื่อตอบสนองแนวโน้มความต้องการของโลกอย่างจริงจัง

เป็นการปรับตัวเพื่อรับโลกร้อน และเพื่อไต่ขึ้นอยู่อันดับข้าวพรีเมี่ยมที่ขายแพงได้และโลกกกำลังต้องการ

หากเป็นจริง ตลาดส่งออกข้าวไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักหน่วงแน่นอน

ดร. อัทธ์บอกว่าเวียดนามได้เร่งดำเนินการตามแผนพัฒนาประเทศแบบยั่งยืนระหว่างปี 2021-2030

เป็นการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong River Delta : MRD) ทั้งหมด 13 จังหวัดซึ่งผลิตข้าว 60% ของผลผลิตข้าวทั้งประเทศ

และเป็น 90% ของการส่งออกข้าวโดยรวมของเวียดนาม

ข่าว “คาร์บอนต่ำ” ของเวียดนามที่ว่านี้เป็นการตั้งรับกับความท้าทายใหม่อย่างน้อย 2 ข้อ

นั่นคือเวียดนามมีนโยบายชัดเจนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในปี 2050

การจะบรรลุเป้าหมายต้องเปลี่ยนวิธีผลิตข้าว

ซึ่งจะทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

นั่นแปลว่าระดับผู้นำของประเทศต้องลงมาสั่งการเอง

การปรับเปลี่ยนสำคัญเช่นนี้หมายรวมถึงการจัดงบประมาณใหม่, การเปลี่ยนลำดับความสำคัญและการให้แน่ใจว่าชาวไร่ชาวนาทั่วประเทศเข้าร่วมความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างเต็มใจและกระตือรือร้น

นั่นหมายถึงการต้องมีมาตรการจูงใจเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญด้วย

ไทยเราก็รู้ เวียดนามก็ตระหนัก นั่นคือการปลูกข้าวมีส่วนสร้างปัญหาโลกร้อน

เพราะการปลูกข้าวมีการปล่อยก๊าซมีเทน 48% และมีผลต่อก๊าซเรือนกระจก (GHG) รุนแรงกว่า 28 เท่า

โจทย์ข้อต่อมาคือจะทำอย่างไรจึงจะพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ทนต่อการเปลี่ยนแปลง

และตอบรับกับสภาพภูมิอากาศสำหรับสายพันธุ์ต่าง ๆ

เอกชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายนี้

ข้อมูลของ ดร. อัทธ์บอกว่าทุกวันนี้เวียดนามได้ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำได้ประมาณ 7 แสนเฮกตาร์หรือประมาณ 4.3 ล้านไร่

และได้ผลผลิตออกมาแล้วประมาณ 4 ล้านตันข้าวเปลือก (ผลผลิตข้าวเวียดนามประมาณ 1 ตันหรือ 1,000 กก.ต่อไร่)

อีกทั้งยังตั้งเป้าพื้นที่ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำไว้ที่ 1 ล้านเฮกตาร์ในปี 2030 (2573)

ซึ่งหมายความว่าเวียดนามจะปลูกข้าวคาร์บอนต่ำได้ 6.25 ล้านตันข้าวเปลือก

แสดงว่าในอีก 7 ปีข้างหน้าข้าวส่งออกของเวียดนาม 20% จะเป็นข้าวคาร์บอนต่ำ หรือประมาณ 1 ล้านตัน

หลายประเทศที่ประกาศชัดเจนว่าจะรับซื้อข้าวคาร์บอนต่ำแม้จะมีราคาสูงกว่าข้าวในท้องตลาด

เพราะค่านิยมของประชาชนในหลาย ๆ ประเทศเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา สหภาพยุโรปหรืออียู 27 ประเทศ ที่มีความตกลงการค้าเสรีหรือ FTA กับเวียดนามแล้ว

รวมถึงตลาดตะวันออกกลางซึ่งมีอำนาจซื้อสูงขึ้นตลอดเวลา

เวียดนามเขาสร้างระบบรองรับในประเทศไว้เพื่อความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างเป็นรูปธรรม

งานวิจัยและการรับรองคุณภาพทำโดย The Mekong Delta Rice Research Institute (CLRRI) ของเวียดนาม

ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการรับรองฉลาก Carbon Footprint จากประเทศคู่ค้า

ด้วยเหตุนี้ ดร. อัทธ์ จึงตั้งคำถามว่าประเทศไทยเราจะแก้โจทย์นี้อย่างไร

เพราะหากไม่ลงมือทำทันทีก็จะตกอยู่ในภาวะล้าหลัง และจะสูญเสียตลาดให้กับเวียดนามอย่างรวดเร็วและรุนแรง

มีการคาดกันว่าตั้งปีหน้าเป็นต้นไป เวียดนามจะขายข้าวที่มีคุณภาพและมาตรฐานเท่านั้น

รวมถึงข้าวคาร์บอนต่ำและข้าวเพื่อสุขภาพซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของหลาย ๆ ตลาดที่มีความตื่นตัวด้านโภชนาการเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน

ตามแผนระดับชาติ เวียดนามจะลดปริมาณการส่งออกข้าวลงเพื่อความมั่นคงทางด้านอาหาร จากเฉลี่ยส่งออกประมาณปีละ 7 ล้านตัน (มูลค่าประมาณ 8 หมื่นล้านบาท) อาจเหลือส่งออก 4 ล้านตัน

แต่มูลค่าจะขึ้นไปถึง 1 แสนล้านบาท เทียบกับประเทศไทยในปี 2565 มีการส่งออกข้าว 7.71 ล้านตันมูลค่า 1.38 แสนล้านบาท และช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ส่งออกแล้ว 5.27 ล้านตัน มูลค่า 1 แสนล้านบาท (+20% จากราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และเงินบาทอ่อนค่า)

ถ้าไทยไม่ปรับตัวและเริ่มผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ เราจะตกเป็นเบี้ยล่าง

ที่เราเชื่อว่าข้าวเป็นสินค้าเกษตรอันดับต้น ๆ ของประเทศก็จะกลายเป็นอดีตไปโดยสิ้นเชิง

นักวิชาการท่านนี้เป็นห่วงว่าประเทศไทยเราแม้จะมีการพูดถึงเรื่องนี้ในภาพรวมและในระดับรัฐบาลหรือธุรกิจเอกชนระดับใหญ่ แต่ความตื่นตัวจริง ๆ ในระดับปฏิบัติการยังมีต่ำมาก

อีกทั้งยังขาดการบูรณาการของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรง

ห่วงนโยบายรัฐเปลี่ยนไปมา

รัฐบาลใหม่จะตระหนักเรื่องนี้เพียงใดยังไม่ปรากฏชัดเจนเพราะส่วนใหญ่จะเน้นไปในทางนโยบาย “ประชานิยม” ที่หวังผลระยะสั้น

แต่การเปลี่ยนกระบวนทัศน์และยกเครื่องการผลิตด้านการเกษตรนั้นเป็นเรื่องใหญ่, เรื่องยาวและเรื่องชี้เป็นชี้ตายอนาคตของประเทศ

งบประมาณสำหรับวิจัยและพัฒนาเรื่องเช่นนี้มีจำกัด

และไม่แน่ชัดว่าเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงทบวงกรมใด

เกษตรและสหกรณ์หรือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เมื่อมีแต่แผนการบนกระดาษ แต่ไม่มีแผนปฏิบัติการที่จะทำให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องต้องทำงานร่วมกัน ไทยก็คงจะตกอยู่ในภาวะที่วิ่งไปข้างหน้าได้ช้า

เพื่อนบ้านและคู่แข่งของเราได้ออกวิ่งไปไกลโขแล้ว

เป็นที่รู้กันในแวดวงธุรกิจช้าวว่ารัฐบาลเวียดนามจัดสรรงบวิจัยและพัฒนาเรื่องข้าวมากกว่าไทย 10 เท่า

ถึงวันนี้ยังไม่มีนโยบายการส่งเสริมการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำแม้ว่านายกฯเศรษฐา ทวีสิน จะไปประกาศที่สหประชาชาติว่ารัฐบาลนี้จะเอาจริงเอาจังกับ Green Economy ก็ตาม

แต่หากเทียบกับเวียดนามและประเทศอื่นที่ถือว่าเป็นคู่แข่งของไทยในด้านนี้แล้ว ไทยเราถือว่าอยู่ในฐานะที่ล้าหลังและอ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัด

นักการเมืองชอบเรื่อง quick win คืออะไรที่ทำได้เร็วและง่าย

แต่การสร้างชาตินั้นต้องมีนโยบาย long-term victory หรือชัยชนะในระยะไกลด้วยจึงจะเป็นเรื่องยั่งยืนที่แท้จริง

เราแค่ชนะวิ่ง 100 เมตรไม่พอ

การสร้างชาติต้องวิ่งมาราธอนที่ยืนระยะได้อย่างแข็งแกร่งตลอดทางด้วย

หาไม่แล้วเราจะร่วงหล่นระหว่างทาง ไปไม่ถึงไหนจริง ๆ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ