
“คุณอาจจะไม่ได้เข้าใจหนัง #สัปเหร่อ จริงๆ เลยก็ได้ แค่มาถ่ายรูป แล้วบอกว่า 'สัปเหร่อ' เป็นซอฟต์เพาเวอร์ (Soft Power)
นี่..เป็นข้อความที่คุณธิติ ศรีนวล หรือ “ต้องเต” เศรษฐี-ผู้กำกับภาพยนตร์คนล่าสุดโพสต์ หลังจากที่คุณเศรษฐา ทวีสิน จูบมือ เอ๊ยจูงมือคุณอุ๊งอิ๊งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยไปดูหนัง
และนายกรัฐมนตรีได้โพสต์.. "สัปเหร่อ" คือภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของภาคอีสานผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่ออกมาได้อย่างน่าชื่นชม
ผมเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จคือการที่ผู้กำกับและทีมงานภูมิใจในรากเหง้าของตัวเอง ควรค่าแก่การสนับสนุนครับ
รัฐบาลเราสนับสนุน Soft Power ทุกมิติ ด้านภาพยนตร์เองก็เช่นกัน เราพร้อมที่จะผลักดันให้ภาพยนตร์ไทยพาวัฒนธรรมของเราออกไปสู่สายตาชาวโลกเป็น ‘จุดขาย’
ไปสร้างชื่อเสียง สร้างรายได้ และความชื่นชอบให้กับประเทศไทย"
ครับ..ก็ไม่รู้ว่าพลันที่คุณเศรษฐาได้ดูหรือได้อ่านประโยคที่คุณต้องเตพูดข้างต้นนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร จะยังสนับสนุนต่อไป หรือจะวางเฉยเสีย..ปากเก่งนัก!
แต่ผมเชื่อน่ะ คุณเศรษฐามีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงที่จะผลักดันหนังไทยนับจากนี้ สำคัญเพียงว่า ท่านจะมีเวลาให้ทำงานอยู่ได้อีกนานแค่ไหนเท่านั้น!
และด้วยเชื่อ ผมจึงไม่อยากให้คุณเศรษฐาเที่ยวคิดเล็ก-คิดน้อยกับปากคนในวงการหนังไทย เขาจะพูดจะติติงหรือวิจารณ์หนักบ้าง-เบาบ้างก็แกล้งทำเอาหูทวนลมเสีย
อย่าได้อารมณ์บูด หรือหมดกำลังใจ แต่ต้องเข้าใจในวงการหนังไทยนั้นล้วนมีแต่คนเก่ง มีความรู้ ความสามารถ และมีความมั่นใจในตัวเองสูง
ฉะนั้นก็ต้องอดทน-อดกลั้นกับคำพูด-เสียงวิจารณ์ เพราะตลอดมาไม่ว่าจะรัฐบาลไหน นายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร..
ไม่เคยรอดที่จะถูกบ่นด่าจากคนในแวดวงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย!
ยิ่งยุคนี้ที่สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ทั้งตัวนายกฯ ทั้งคณะกรรมเป็นคนหัวก้าวหน้า-รุ่นใหม่ด้วยแล้ว ดูท่าคุณเศรษฐากับรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมเดินตามไม่ทันหรอก
ความจริงจะพูดไปแล้ว..Soft Power กับหนังไทยน่ะมันมีมาตั้งแต่ยุคหนังขาว-ดำนู้น ไม่ใช่เพิ่งจะมีในสัปเหร่อ จึงไม่เห็นต้องไปตื่นเต้นอะไรให้มากนัก
เอาเป็นว่า ถ้าจะสนับสนุนหนังไทยจริงจังทั้งอุตสาหกรรม ก็ไม่ต้องคิดมองแต่ด้านซอฟต์เพาเวอร์ หนังประเภทอื่น-แนวอื่นก็ควรที่จะได้ส่งเสริมอย่างเท่าเทียม
อย่างที่บอก หนังไทยมี soft power อยู่แทบจะทุกเรื่องมาแต่นมนาน เพียงแต่เราไม่ได้สนใจ ไม่ได้ให้ความสำคัญ ไม่ได้มองหรือมองไม่เห็น อย่างสัปเหร่อ ผู้กำกับก็ยอมรับเองว่า..
“อย่างตัวผมเองยังไม่รู้ว่าซอฟต์เพาเวอร์คืออะไร ตอนผมทำ ผมยังแบบ 'เอ๊า ! หนังผมเป็นซอฟต์เพาเวอร์' เหรอ
ผมยังไม่รู้เลย แต่ถ้าผมได้รู้ หรือได้ทำความเข้าใจว่าซอฟต์เพาเวอร์คืออะไร หนังไปไกลกว่านี้ มีซอฟต์เพาเวอร์จริงๆ แน่นอน”
เห็นไหม ขนาดผู้กำกับที่คิดพล็อตเอง เขียนบทเอง กำกับเองก็ยังไม่รู้ แล้วรัฐบาลหรือหน่วยงานที่กำกับดูแลหนังไทยจะไปรู้จากไหนมาก่อนได้
รู้ก็ต่อเมื่อหนังเข้าฉาย และพอรู้แล้วนายกฯ จะไปให้กำลังใจ ไปถ่ายรูปหวังช่วยพีอาร์หนัง ก็กลับถูกแซะ ถูกวิจารณ์..ไปสร้างภาพซะงั้น!
รัฐบาลทำเฉยไม่หือไม่อือก็ว่า นายกฯ ไปดูหนัง พูดชื่นชมก็หาว่าไปแย่งซีน ไปเอาแสง ไปฉวยโอกาส..สรุปคืออย่างไร?
จะให้รัฐบาลตั้งกองทุนหนังไทยสักพันล้าน-หมื่นล้าน เพื่อที่ผู้สร้าง-ผู้กำกับจะได้สร้างหนังที่มีซอฟต์เพาเวอร์ออกขายต่างประเทศอย่างนั้นรึ?
แล้วที่ผ่านมา รัฐบาลก่อนหน้าก็เคยตั้งกองทุนเพื่อการส่งเสริมหนังไทย ทั้งแบบให้เปล่า ให้กู้ และร่วมลงทุน แล้วไง..ก็สูญเปล่าน่ะสิ!
ผมน่ะเชื่อ (อีกแล้ว)..รัฐบาลทุกรัฐบาลแหละ พร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนหนังไทย แต่ที่หนังไทยเราไปได้ไม่ไกลแบบมั่นคงเสียที
นั่นเพราะ เราขาดพล็อตเรื่อง-มือเขียนบทที่ดี-ที่เก่ง..
หรือใครจะเถียง?.
สันต์ สะตอแมน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ร่างทรงชาวบ้าน
ว้าวว..ลูกชาย “เจ๊แดง” นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 เพื่อไทย! เสียงเพื่อนบนโต๊ะกินข้าวคนหนึ่งอุทานลั่น ทำเอาเพื่อนๆ ร่วมโต๊ะหันมองหน้าด้วยความพร้อมเพรียง ก่อนที่อีกคนจะเอ่ยถาม..
‘ขอเวลาอีกไม่นาน’!
คั่นสงครามด้วยข่าวบันเทิง!.. เริ่มที่เจ้าพ่อโหนกระแส “คุณหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” โพสต์ถึงใครก็ไม่รู้.. “ก่อนจะดูถูกคนอื่น ล้างมือล้างตีนตัวเองก่อนดีมั้ย ตีนยังดำอยู่เลย”
‘เด็กเสียนิสัย’?
“สงคราม” ..สนุกแต่เฉพาะในหนังฮอลลีวูด.. นอกจาก “ของจริง” ไม่ใช่เรื่องเล่น-เรื่องสนุก หรือเรื่องที่จะคุยโม้ โอ้อวด เพราะสนามสงคราม คือ “สนามแห่งความเป็น-ความตาย” ของชีวิต (จริง) เหล่าทหารกล้า!
‘ดิสนีย์แลนด์’..ฝันเก้อ?
แก้วตา...หันมาฟังพี่จะบอก เจ้าจงตั้งใจฟังไว้ให้ดี.. คืองี้..เหตุที่คณะกรรมการบริหารพรรคประชาชน และคณะกรรมการคัดสรรผู้สมัคร มีมติไม่ส่งคุณธิษะณา ชุณหะวัณ หรือ “แก้วตา” ลงสมัคร สส.กรุงเทพฯ ต่อนั้น..
เหลือไว้ความทรงจำ
สงครามมาพร้อมกับ “ซีเกมส์” แต่ด้วย “ซีเกมส์” เป็นการแข่งขันกีฬาของมวลมนุษยชาติที่จัดกันมาต่อเนื่องจนถึงครั้งที่ 33 ในปีนี้-2568
กาเหว่าที่บางเพลง
“มีผู้อ่านบางคนเข้าใจว่าผมจะได้มีความคิดทางการเมืองหรือทางอื่นๆ แอบแฝงไว้ในหนังสือเล่มนี้ เพื่อจะได้ชี้ให้ผู้อ่านเห็นในสิ่งที่ผมเห็นหรือคิดในสิ่งที่ผมคิด

