กฎเหล็กยุคบิ๊กต่อ

คลอดไทม์ไลน์แต่งตั้ง "นายพัน" ออกมาเรียบร้อย ผบ.ต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล แม่ทัพใหญ่สีกากี สะบัดปากกาเซ็นคำสั่งถึง ผบช.หรือตำแหน่งเทียบเท่า ผบก. ในสังกัด สง.ผบ.ตร. หรือตำแหน่งเทียบเท่า เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก. ลงมาถึง สว. วาระประจำปี 2566 วางกฎเหล็กเอาไว้ 9 ข้อให้แต่ละกองบัญชาการดำเนินการ เน้นย้ำชัดเจน "ผู้มีอำนาจ" สั่งแต่งตั้งต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และข้อกำหนด ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2566 พร้อมทั้งให้หน่วยงานในสังกัด สง.ผบ.ตร.จัดทำบัญชีให้เสร็จภายใน 20 พ.ย. ส่วน บช.อื่นๆ ให้ดำเนินการแต่งตั้งให้เสร็จสิ้นพร้อมกันทุกหน่วยใน 29 พ.ย. โดยคำสั่งมีผลใช้บังคับพร้อมกันใน 30 พ.ย.66

ตามกฎ ตามเกณฑ์การแต่งตั้ง "นายพัน" ตำแหน่ง สว.-รอง ผบก. ต้องยึดอาวุโส 33% ที่เหลือนำกลุ่มความรู้ ความสามารถ มาประกอบกับอาวุโส ซึ่งในกฎเหล็กเที่ยวนี้ "ผบ.ต่อ" ชัดเจนในการพิจารณาความรู้ความสามารถเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสม เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นและข้อมูลเสนอแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ให้พิจารณาโดยคำนึงถึงองค์ประกอบ 1.ประวัติการรับราชการ ให้พิจารณาตั้งแต่เริ่มรับราชการชั้นสัญญาบัตรเพื่อแสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของประสบการณ์และความชำนาญงานในการปฏิบัติงานด้านต่างๆ 2.ผลการปฏิบัติงานให้พิจารณาตั้งแต่เริ่มดำรงตำแหน่งในระดับปัจจุบัน โดยพิจารณาจากผลงานในหน้าที่รับผิดชอบที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการทำงาน การติดตามงานให้บรรลุผลสำเร็จ ความรอบคอบในการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.ความประพฤติ ให้พิจารณาจากการรักษาวินัย การประพฤติตนตามประมวลจริยธรรมข้าราชการตำรวจ...ถือเป็นสิ่งถูกต้อง เพราะจะได้ตำรวจรุ่นใหม่ๆ ที่มีความรู้ ความสามารถร่วมด้วย ไม่ใช่เอาแต่พวก "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน"

ที่น่าปวดหัวในการจัดทำบัญชีแต่งตั้ง สว.-รอง ผบก. รอบนี้ เห็นจะเป็น บิ๊กจิ-พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รักษาการ ผบช.ภ.1 และ บิ๊กเปีย-พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม รักษาการ ผบช.ภ.2 เพราะ 1 ในกฎเหล็ก 9 ข้อที่ "ผบ.ต่อ" กำชับการปฏิบัติให้ ภ.1 และ ภ.2 ที่ยังคงมีจำนวนตำแหน่ง สวป. ในสถานีตำรวจเกินกรอบตำแหน่งที่ ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่ 12/2561 เมื่อ 27 พ.ย.61 กำหนดไว้ ให้ปรับเกลี่ยให้เป็นไปตามกรอบตำแหน่งที่ ก.ตร. กำหนด โดยพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไปดำรงตำแหน่งอื่นทุกราย ดังนั้นก็ต้องมีโยก มีหมุน สวป. ส่วนเกิน ของแต่ละโรงพักกันจ้าละหวั่น และยังกระทบไปถึง รอง สว. ที่จะขึ้น สว. จำนวนก็จะลดลงตามไปด้วย รวมทั้งหน่วยไหนที่มี "ตำรวจ" ได้รับการเยียวยาตามที่ อ.ก.ตร.ร้องทุกข์ มีมติให้เยียวยาหรือแก้ไขให้กับผู้ร้องทุกข์ ซึ่งในกฎเหล็กก็กำชับให้หน่วยพิจารณากลับไปดำรงตำแหน่งเดิมทุกราย

อุบัติเหตุทางรถยนต์ สร้างความสูญเสียให้แวดวง "ตำรวจ" อีกครั้ง รถกระบะ 4 ประตู สีดำ ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน 2 ขค 4818 กรุงเทพมหานคร ของ พ.ต.อ.สิระ สุวิกรม ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 แหกโค้งเสียหลักพลิกคว่ำบนถนนสุขุมวิท ขาเข้าระยอง พื้นที่ ม.5 ต.สองสลึง อ.เมืองระยอง จ.ระยอง จนรถตกอยู่ในร่องกลางถนน ด้านหน้ารถพังยับจนถึงห้องโดยสาร พ.ต.อ.สิระได้รับบาดเจ็บสาหัสติดอยู่ภายในรถ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยพุทธศาสตร์สงเคราะห์รีบเข้ามาช่วยเหลือ นำส่งโรงพยาบาลแกลง แต่เนื่องจาก พ.ต.อ.สิระมีอาการหนักและเสียชีวิตในเวลาต่อมา สร้างความเสียใจให้ครอบครัวและเพื่อนตำรวจเป็นอย่างมาก และเท่าที่รู้วันที่เกิดอุบัติเหตุวันที่ 9 พ.ย. ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.อ.สิระ...ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว "สุวิกรม" ด้วย

“ก้าวไกล” ยังคงตามบี้ประเด็นเครื่องยนต์เรือดำน้ำ และแนวทางการเปลี่ยนไปซื้อเรือฟริเกต ในการประชุมคณะกรรมาธิการทหารฯ เป็นสัปดาห์ที่สอง ล่าสุดกระทรวงกลาโหม สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ พล.อ.อดินันท์ ไชยฤกษ์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหมมาชี้แจงแทน ก่อนที่กรรมาธิการทหารจะยกคณะไปพบ ที่กระทรวงกลาโหม ในวันที่ 22 พ.ยน.นี้ โจทย์ที่ตั้งเป็น “ธง” มา คือการเปลี่ยนโครงการเรือดำน้ำเป็นเรือฟริเกต อาจเข้าข่ายรัฐธรรมนูญมาตรา 178 เกี่ยวกับสัญญาต่างประเทศ และการจัดซื้อจีทูจี ที่ต้องนำเข้าสภา โดย กมธ.ยังทวงเอกสารของคณะกรรมการกฤษฎีกาย้อนหลังไปว่าสัญญาระหว่าง ทร.กับ CSOC ไม่เข้าข่ายที่จะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภา รวมถึงประเด็นการเบิกจ่ายงบประมาณสร้างเรือดำน้ำและส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ท่าจอดเรือ โรงซ่อมบำรุง และคลังอาวุธ จนถึงขณะนี้รวม 9,500 ล้านบาท จากวงเงิน 17,000 ล้านบาท ซึ่งผู้แทนของกระทรวงกลาโหมระบุว่า หากไม่ได้ใช้งานในโครงการเรือดำน้ำก็สามารถดัดแปลงไปใช้ในภารกิจอื่นได้ โดยวันที่ 22 พ.ย.นี้ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จะนำคณะกรรมาธิการทหารไปเข้าพบ สุทิน ที่กระทรวงกลาโหม ศรีสมาน เพื่อถามให้ชัดๆ  ขณะที่ “บิ๊กโอ๋” พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ ผช.ผบ.ทร. ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการเรือดำน้ำ ก็เดินหน้าเจรจากับบริษัทต่อไปจนกว่าจะครบอายุสัญญาในเดือนนี้

เข้าสู่เดือนที่ 2 ของการนั่งในตำแหน่ง รมว.กลาโหม สำหรับ “บิ๊กทิน” ในฐานะประธานสภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วันก่อนกล่าวในพิธีเปิดหลักสูตร วปอ. รุ่นที่ 66 ได้จับใจผู้ฟัง เพราะระหว่างบรรทัดแสดงให้เห็น Military mind ที่ค่อยเพิ่มขึ้น ยิ่งวรรคทองที่คงโดนใจเหล่าทัพคือ การพัฒนาศักยภาพกองทัพให้มีความทันสมัย “หลายเรื่องที่ภารกิจใหม่ของทหารต้องสอดคล้องกันกับภัยคุกคามใหม่ อีกเรื่องคือเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งเราต้องทำให้กองทัพมีเทคโนโลยีใหม่ใหม่เพื่อใช้ในการบริหาร แต่ที่สำคัญคือเทคโนโลยีในการรบ นั่นก็คืออาวุธยุทโธปกรณ์จะต้องให้ทันสมัย สู้รบปรบมือกับเขาได้ ตอนนี้เขาไปถึงไหนกันแล้ว ใช้โดรน ใช้อะไร เราจะมาเป็นแบบเดิมไม่ได้ พอพูดตรงนี้หลายคนก็มาเล่นงานผม ฝ่ายการเมืองก็บอกว่าเตรียมจะซื้ออาวุธซื้อนู่นซื้อนี่ ตอนนี้ไม่ต้องถามหรอกว่าจะซื้ออาวุธไหมหรือไม่ ให้ถามว่าจะซื้ออะไรถึงจะสู้เขาได้ดีกว่า เวลาเข้าสภาต้องบอกเลยว่า การจัดงบประมาณกองทัพที่ผมเคยเข้าใจผิดมาตลอดว่ามาจากฐานงบประมาณปีที่แล้ว เหมือนกระทรวงทบวงกรมอื่น แต่กองทัพคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะต้องเอาคู่แข่งเป็นฐานด้วย”

“บิ๊กไก่” พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ไปเดินชมนิทรรศการอาวุธ Defense and security อีกรอบหลังจากไปในวันเปิดกับ รมต.สุทิน เล่าในรายการ "อิสรภาพแห่งความคิด" ของทีวีไทยโพสต์ บอกว่า ตอนนี้เทคโนโลยีเกี่ยวกับ UAV ไปไกลมาก บางบริษัทที่มาจัดแสดง มี Combat Drone คล้ายๆ เครื่องบินรบ นับเป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 ผบ.ทอ.ยังได้อัปเดตโดรน M Solar X เป็นของโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช โดยมีอาจารย์และนักเรียนร่วมกันวิจัย ถ้าทดลองบินอีก 400 ชม.ก็จะครบตามเกณฑ์มาตรฐาน ก็จะผลิตจำหน่าย เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่ง ทอ.มีแผนที่จะใช้งานในปี 2567 จำนวน 20เครื่อง เพื่อตรวจการณ์ ป้องกันฐานบิน แทนการลาดตระเวน และต้นปีหน้า ทอ.ก็จะมีแผนเราจะนำงานวิจัยที่เรามีอยู่ ทางด้านความมั่นคงและการช่วยเหลือประชาชน จัดเป็นงานซิมโพเซียม โดยนำงานวิจัยมาสู่ผลิตเพื่อใช้งานจริง โดยร่วมกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชนในประเทศ โดยมองว่าจะทำงานวิจัยเพื่อให้ได้ผลิตยุทโธปกรณ์ใช้งานในประเทศของเรา 100%

23 พ.ย.นี้ กองทัพบกไทยจะเป็นเจ้าภาพ การประชุม ผบ.ทบ.กลุ่มประเทศอาเซียน (Asean Chiefs of Army Multilateral Meeting – ACAMM) ที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดย มี ผบ.ทบ.กลุ่มประเทศอาเซียนพบปะ หารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคอาเซียนและโลกในปัจจุบัน พร้อมทั้งร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาภูมิภาค โดยหัวข้อการประชุม ได้แก่ Armies Collaboration to Reinforce ASEAN Centrality (ความร่วมมือของกองทัพบก เพื่อส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียน)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไฟไหม้ห้องทำงาน รองผอ.รร.เมืองตลุงพิทยาสรรพ์  คาดอากาศร้อนทำเบรกเกอร์ช็อต

เกิดเหตุไฟไหม้ห้องรอง ผอ.โรงเรียนมัธยม อ.ประโคนชัย  จ.บุรีรัมย์ ลามไหม้ห้องวิชาการ  เสียหายทั้ง 2 ห้อง  ตรวจสอบพบเบรกเกอร์เครื่องปรับอากาศในห้องรอง ผอ. มีรอยไหม้ คาดไฟฟ้าลัดวงจร บวกกับอากาศที่ร้อนจัด

สายหื่นระวัง 4 ภัยมิจฉาชีพหลอกให้ตกเป็นเหยื่อ

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน

อยากช่วย...อยากเชียร์...แต่เพลียแล้วนะ

ในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เราตกใจเมื่อเห็นผลของการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งมาเป็นที่ 1 ได้ สส. 151 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยมาเป็นที่ 2 ได้ สส. 141 ที่นั่ง ส่วนพรรคที่เขาเรียกขานกันว่าเป็นพรรคอนุรักษ์หรือพรรคหนุนเผด็จการนั้น ได้จำนวน สส.ห่างไกลจาก 2 พรรคนี้มาก ภูมิใจไทยที่ได้จำนวน สส.มาเป็นที่ 3

ยุคพระอาทิตย์ 7 ดวง

ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่...แต่เผอิญไปป่วย หรือ อาพาธ อยู่ประมาณ 3 เดือน คือระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ปีพุทธศักราช 2535 หรือประมาณ 35 ปีมาแล้ว

หึ่ง! เชือด 'นายพล' อีก

ดูเหมือนจะเป็นหน่วยงานแห่งความหวัง หน่วยงานที่พึ่งสำคัญ ในการจะกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งของ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. หลังจาก บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์