(ข้อเขียนนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 14 ปีที่แล้ว วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ก่อนที่พี่น้องเสื้อแดงจะเข้าชื่อกันเป็นจำนวนถึง 3.5 ล้านคน และส่วนหนึ่งได้รวมตัวกันที่สนามหลวงยื่นฎีกาที่พระบรมมหาราชวัง และราชเลขาธิการแถลงการได้รับฎีกา และส่งให้รัฐบาลพิจารณาถวายความเห็นประกอบพระราชดำริต่อไป ผู้เขียนหวังว่า ข้อเขียนเหตุการณ์ในอดีต อาจจะช่วยให้เราเข้าใจปัจจุบันได้บ้าง ไม่มากก็น้อย)
แม้ว่าจะมีความพยายามที่จะชี้แจงว่า การล่ารายชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษแก่ทักษิณ ชินวัตรเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ก็ดูเหมือนว่าผู้ริเริ่มความคิดดังกล่าวก็ยังคงเดินหน้าล่ารายชื่อต่อไป ขณะเดียวกันก็มีการปล่อยข่าวออกมาทั้งสองกระแส นั่นคือ ทั้งทักษิณไม่เห็นด้วยและทั้งทักษิณไม่ขัดข้อง ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า แนวโน้มที่เป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นคือ
หนึ่ง เมื่อล่ารายชื่อได้เป็นจำนวนล้านชื่อแล้ว ก็ประกาศโชว์บัญชีรายชื่อให้สื่อมวลชนรับรู้ และหลังจากดูทิศทางลมขณะนั้นแล้ว แกนนำผู้รวบรวมรายชื่อจะกลับลำไม่ยื่นถวายฎีกา โดยอ้างว่าแม้ว่าจะมีรายชื่อเป็นจำนวนล้านชื่อแล้วก็ตาม แต่เจ้านายคือทักษิณ ชินวัตรไม่ต้องการให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท จึงสั่งห้ามในที่สุด แต่กระนั้น ก็ได้แสดงพลังให้เห็นต่อสาธารณะแล้วว่า มีประชาชนนับล้านสนับสนุนทักษิณให้ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งจำนวนล้านคนที่ได้มาก็เพียงพอที่สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองต่อรัฐบาลและสถาบัน แถมตัวทักษิณเองหรือเหล่าแกนนำลูกน้องยังสามารถสร้างเครดิตให้กับตัวทักษิณและพลพรรคได้อีกด้วย
สอง ล่ารายชื่อไม่ถึงล้าน แต่แอบอ้างว่าได้ถึงล้าน แต่ก็ประกาศไม่ถวายฎีกา โดยอ้างเหมือนข้อหนึ่งเพื่อสร้างเครดิต
สาม ล่ารายชื่อได้ไม่ถึงเป้าที่คาดหวังไว้ แต่ก็ไม่เปิดเผยตัวเลข แต่ก็ออกมาประกาศว่าขอยุติการถวายฎีกา เพราะไม่ต้องการให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท นี่ก็ได้เครดิตไปกินอีก
ผู้เขียนคิดว่า มีโอกาสมากที่ในที่สุดแล้ว จะไม่มีการถวายฎีกา หากถวายไปจริงๆแล้ว ฝ่ายทักษิณจะเสียมวลชนที่สนับสนุนไป แต่ถ้าได้รายชื่อมาเป็นหลายสิบล้านมากเสียจนไม่ต้องห่วงเรื่องเสียมวลชน การถวายฎีกาก็อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งก็จะเป็นไปตามที่ทักษิณได้กล่าวไว้เมื่อตอนที่พี่น้องเสื้อแดงชุมนุมที่สนามกีฬาราชมังคลาฯเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว นั่นคือ การขู่กรรโชกสถาบันฯ โดยอ้างว่าตนจะสามารถกลับเมืองไทยได้โดยพระบารมีหรือไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชน
แต่ถ้าได้รายชื่อไม่มากพอ การถวายฎีกาย่อมสุ่มเสี่ยง เสี่ยงแรกคือ เสี่ยงเสียเครดิตจากสังคม เสี่ยงที่สองคือ หากสถาบันฯมีคำตอบอะไรออกมาที่สวนทางกับข้อเรียกร้อง และมีเหตุผลที่อธิบายได้ดี การถวายฎีกาจะกลับกลายเป็นบูมเมอแรงตีกลับพวกทักษิณ พี่น้องประชาชนที่ลงรายชื่อถวายฎีกาด้วยความรู้สึกรักและเทิดทูนสถาบันจริงๆ ก็อาจจะหันมาฟังสถาบันฯ และเริ่มเห็นว่า ทักษิณคือตัวปัญหา ทั้งนี้ไม่นับพี่น้องประชาชนที่นิยมทักษิณอย่างหัวปักหัวปำและพร้อมที่จะเลือกทักษิณ หากมีการต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นพระประมุของค์แรกหรือปฐมกษัตริย์แห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในฐานะที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เป็นประมุขของระบอบการปกครองใหม่ (รัชกาลที่เจ็ดมีช่วงเวลาน้อยมาก ส่วนรัชกาลที่แปดก็มีผู้สำเร็จราชการแทนฯ และก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน) พระองค์จึงทรงต้องเป็นผู้วางรากฐานบทบาทของสถาบันกษัตริย์ภายใต้ระบอบใหม่ ไม่สามารถอิงกับบทบาทพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนๆได้มากนัก เพราะก่อนหน้าพระองค์ ล้วนแต่เป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) ทั้งสิ้น ถึงแม้จะยังทรงยึดในทศพิธราชธรรมและจารีตประเพณี แต่ก็ทรงต้องประยุกต์และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบทบาทของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย
การถวายฎีกาในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ย่อมแตกต่างจากการถวายฎีกาในระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญหรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะในระบอบประชาธิปไตยฯ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจสูงสุดเป็นสิทธิอันสมบูรณ์ขององค์พระมหากษัตริย์ เมื่อตัดสินอย่างใดแล้ว ถือเป็นที่สุด ต้องเป็นไปตามนั้น ไพร่ฟ้าข้าราษฎรต้องน้อมรับ ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม แต่ในระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าจะยังให้มีการถวายฎีกา แต่กระนั้น คำตัดสินของพระองค์ก็อาจจะไม่ทรงพลังเด็ดขาดเหมือนในสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้น การถวายฎีกาในเรื่องที่เป็นปัญหาวิกฤตการเมืองร้ายแรงอย่างในกรณีของทักษิณจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเปราะบางอย่างยิ่ง
ในทั้งสองระบอบการปกครอง การถวายฎีกาอาจจะช่วยเสริมสร้างพระบารมีหรือลดทอนพระบารมีได้ แล้วแต่ว่าคำตัดสินฎีกานั้นจะเป็นที่พอใจหรือไม่ของมหาชน แต่ในระบอบประชาธิปไตย หากการตัดสินฎีกาเป็นที่ไม่พอใจของมหาชน ก็ย่อมนำไปสู่การลดทอนพระบารมี และสามารถส่งผลในแง่ลบได้มากกว่าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ด้วยเหตุผลที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
อย่างไรก็ตาม สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองใหม่ก็ดำเนินมาเป็นเวลาถึงหกสิบกว่าปี และได้ผ่านวิกฤตการเมืองครั้งสำคัญหลายครั้งหลายครา มีการปรับตัวปรับบทบาทมาโดยตลอด อันจะก่อให้เกิดแบบแผนสำหรับองค์พระมหากษัตริย์พระองค์ต่อๆไปอีกหลายรัชกาล โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และเป็นแบบแผนที่สถาบันทางการเมืองอื่นๆจะต้องพิจารณาให้เกิดสมดุลทางการเมืองที่เหมาะสมด้วย ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไปในแต่ละสถาบันต่างๆ
ผู้เขียนมิบังอาจจะล่วงรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากเกิดมีการถวายฎีกาขึ้นจริงๆ แต่เชื่อมั่นว่า ประสบการณ์ตลอดหกสิบกว่าปีที่ผ่านมาของการเป็นปฐมกษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองใหม่จะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงสามารถวางแบบแผนแนวทางสำหรับการพิจารณากรณีปัญหานี้ให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองใหม่นี้ได้ และแน่นอนว่า ถ้าหากผ่านพ้นวิกฤตการเมืองครั้งนี้ไปได้ ก็ถือเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญสำหรับความสำคัญอันขาดไม่ได้ของการดำรงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทยต่อไปอีกนาน
แต่กระนั้น ภายใต้กระแสความเป็นสมัยใหม่ ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ปัญหาวิกฤตการเมืองใหม่ๆย่อมจะต้องเกิดขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งประชาชนที่รู้เท่าทันย่อมต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องปรกติ พระมหากษัตริย์ไทยอีกหลายรัชกาลในระบอบการปกครองที่กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญที่สืบต่อจากปฐมกษัตริย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯก็ทรงย่อมต้องพิสูจน์พระปรีชาญาณและพระบารมีของแต่ละพระองค์เองด้วย นอกเหนือไปจากแบบแผนที่พระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันได้ทรงสร้างไว้จากบทเรียนและอุปสรรคต่างๆที่น่าจะถือได้ว่ารุนแรงและเข้มข้นที่สุด เพราะเป็นรัชกาลแรกภายใต้กระแสการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงจากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บี้รับผิดชอบ! นายกฯ-รมต. รู้เห็นเป็นใจ 'นักโทษ' จุ้นจ้านเมียนมา
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า รัฐบาลเมียนมาตำหนิทักษิณทำสิ่งไม่เหมาะสม ระวังกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ส่อง“โมเดล”ดับไฟเมียนมา “ทักษิณ”พลิกธุรกิจสีเทาเข้าระบบ
ระดับแกนนำ“พรรคเพื่อไทย”ออกอาการอ้ำอึ้ง ไม่รู้ไม่เห็นกรณี “ทักษิณ ชินวัตร” ไปคุยกับชนกลุ่มน้อยเมียนมา ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์เป็นต้นมา แต่สื่อตะวันตกต่างนำเสนอข่าวอย่างครึกโครม
“อนุทิน” เซ็นประกาศคืนชายหาดเลพัง ปิดตำนานกว่า20ปี หลังกรมที่ดินต่อสู้ยืดเยื้อกับผู้บุกรุก พร้อมคืนพื้นที่สาธารณะให้ชาวภูเก็ต
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่บริเวณชายหาดเลพัง ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เปิดกิจกรรม “มหาดไทย มอบความสุข คืนชายหาดเลพัง ให้ชาวภูเก็ต”
ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 22: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475)
(ต่อจากตอนที่แล้ว) ในรายงานวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) ของพันโท อองรี รูซ์ ผู้ช่วยทูตทหารบกและทหารเรือประจำสยาม ประจำสถานอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยาม มีความว่า
สภาจ่อสอบทักษิณจุ้นเมียนมา
กรมคุกงานเข้า หลังนักโทษเทวดาโชว์พาวนักสันติภาพเดินสายคุยชนกลุ่มน้อยเมียนมา
กินข้าวค้างสต๊อกกลบจำนำข้าว แผนปูทาง"ยิ่งลักษณ์"กลับไทย?
หลัง ทักษิณ ชินวัตร-หัวหน้ารัฐบาลเพื่อไทยตัวจริง ได้ออกมาระบุเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระหว่างการกลับไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิดของตระกูล “ชินวัตร” ว่า สงกรานต์ปีหน้า ยิ่งลักษณ์คงได้มีโอกาสกลับมาทำบุญและเล่นสงกรานต์ที่เชียงใหม่ และไม่แน่ อาจกลับภายในปีนี้