บันทึกหน้า 4

"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด" ยังลูกผีลูกคนสำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงินหมื่นของรัฐบาล ที่ใช้เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่สุดท้ายจะได้จ่ายหรือต้องล้มแผน หลังเจอตั้งด่านสกัดสารพัด ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และล่าสุด "นิด้าโพล" ออกมาเปิดเผยผลสำรวจของประชาชนพบว่า ประชาชน 64% มองไทยเผชิญวิกฤตอย่างเร่งด่วนแล้ว แต่ 35% กลับบอกไม่ต้องเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต 69% ไม่โกรธหาก “เศรษฐา” ยกเลิกโครงการ 

"เสี่ยอ้วน" ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า รัฐบาลยินดีรับฟังเพราะถือว่าผลโพลเป็นหนึ่งความเห็นต่อการจัดการแก้ไขปัญหา และยืนยันตามเจตนารมณ์ที่ให้ไว้กับประชาชน และนโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อรัฐสภาถือเป็นสัญญาผูกพันที่แจ้งไว้ต่อตัวแทนของประชาชน จึงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ ส่วนจะดำเนินการหรือไม่อย่างไรขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของส่วนต่างๆ ยังตอบไม่ได้ว่าจะออกเป็น พ.ร.บ. หรือ พ.ร.ก. ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อม

ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก็คิดในวิธีการที่เป็นมาหลายส่วน จนมาถึงจุดนี้ที่ประเทศหยุดเดินหน้าไป 10 ปี และยังต้องดิ้นรนตะเกียกตะกาย ดังนั้นถ้าคิดแบบใหม่ และพยายามทำให้รอบคอบก็จะได้อะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น 

เมื่อถามว่าจะมีการนัดประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตเมื่อใด นายภูมิธรรมกล่าวว่า จะนัดประชุมโดยเร็วที่สุด ส่วนจะต้องรอความเห็นของ ป.ป.ช.ก่อนหรือไม่ “เป็นเพียงข้อคิดเห็น ผมมองว่าเป็นเพียงจินตนาการว่า หากเป็นอย่างนี้จะมีปัญหาอย่างนั้น แต่ถือว่าเป็นความคิดเห็นที่ดี เป็นข้อเตือนใจ เป็นเพียงข้อสังวร ไม่ใช่ข้อปฏิบัติ ..."

อีกคดีสำคัญที่ชี้ชะตาการเมืองไทยในวันที่ 31 ม.ค.นี้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้อนาคตพรรคก้าวไกล จากกรณีเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 

โดยใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 หรือไม่ หรือที่รู้จักในชื่อ “คดีล้มล้างการปกครอง” โดยมีผู้ร้องที่ 1 พิธา-ผู้ร้องที่ 2 ก้าวไกล ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา 

ขณะที่ผู้ร้องคือ "ธีรยุทธ สุวรรณเกษร" อดีตทนายความพุทธะอิสระ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เลิกกระทำการใดๆ ยกเลิกมาตรา 112 ในคำร้องนี้ยังได้แนบบรรทัดฐาน ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 19/2564 หรือคดีทะลุเพดานขึ้นมาเทียบเคียง เพราะคดีดังกล่าวมีการเสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 รวมอยู่ด้วย 

ทั้งนี้ เมื่อพลิกไปดูบรรทัดฐานดังกล่าว ยอมรับว่าหวาดเสียว เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะมองพรรคก้าวไกลเป็นกลุ่มองค์กรเครือข่ายเดียวกับผู้ชุมนุมคดีทะลุเพดานหรือไม่ ที่มีคำสั่งให้เลิกการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยระบุคำวินิจฉัยตอนหนึ่งว่า “แม้เหตุการณ์ตามคำร้องจะผ่านไปแล้ว แต่หากยังคงให้จำเลยที่ 1-2-3 ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 พรรคสอง"

และเมื่อไปดูแนวทางการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล อาจไม่ใช่การแก้ไขกฎหมาย แต่สุ่มเสี่ยงยกเลิก และไปตั้งมาตราใหม่ออกมาหมวดความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง เปิดช่องให้มีการละเมิดเบื้องสูง และยังเสมือนการนิรโทษกรรมผู้ต้องหาและนักโทษคดี 112 ทั้งหมดอีกด้วย  

ขณะที่พรรคก้าวไกลชี้แจงว่า การแก้ไขกฎหมายเป็นไปตามหน้าที่ของพรรคการเมือง และ สส. ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ต่อสู้ว่า "เราพยายามต่อสู้ว่าไม่ได้มีเจตนาบั่นทอน ทำลาย ลดทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้ลดการคุ้มครองแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการทำให้การคุ้มครองประมุขของรัฐได้สมดุลได้สัดส่วนกับการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และยังคงฐานความผิดนี้อยู่ และคุ้มครองเหนือกว่าบุคคลทั่วไป รวมถึงเจ้าพนักงานของรัฐอื่นๆ ด้วย เจตนาของเราคือยังต้องการปรับการลงโทษในฐานความผิดนี้ให้มันได้สัดส่วนกับพฤติการณ์การกระทำผิด” หัวหน้าพรรคก้าวไกลชี้แจงข้อกล่าวหา 

ฉะนั้นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 31 ม.ค. นอกจากจะน่าสนใจอย่างยิ่งแล้ว ยังเกี่ยวพันกับเสถียรภาพของการเมืองไทยอีกด้วย.

 

ช่างสงสัย 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บันทึกหน้า 4

กลายเป็นเรื่องใหญ่เขย่าเก้าอี้นายกฯ ปมคุณสมบัติ "ทนายถุงขนม" พิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หลังเมื่อวันอังคาร "คปท.-ศปปส.-กองทัพธรรม" ยกพวกบุก กกต.

บันทึกหน้า 4

สะท้อนชัดเจนอีกครั้งหนึ่งถึงการทำหน้าที่ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เพราะก่อนหน้านี้ในวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ใน การประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริตในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) “เสี่ยนิด” ก็ส่งงานให้ “ภูมิธรรม เวชยชัย”

ไม่ได้หมายถึงเรื่องใด

ช่วงปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา นั้นเป็นที่วิพาษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เมื่อ อ. ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และ ศาสตราภิชานประจำคณะนิติศาสตร์

บันทึกหน้า 4

เกิดแรงกระเพื่อมในพรรคเพื่อไทย (พท.) ภายหลังโปรดเกล้าฯ ครม.เศรษฐา 2 ที่มีชื่อ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็น รมว.การต่างประเทศ ตำแหน่งเดียว ถูกริบตำแหน่งรองนายกฯ

บันทึกหน้า 4

ควันหลงการปรับ ครม.เศรษฐา 1/1 เกิดดรามามากมาย โดยเฉพาะจากคนที่ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่พ้นกระทรวงสาธารณสุข กลับไปทำงาน สส. รวมถึงกรณี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่หลุดจากตำแหน่งรองนายกฯ

บันทึกหน้า 4

บันทึกในวันอากาศร้อนไม่เท่ากับอุณหภูมิทางการเมืองฮอตปรอทแตก เพราะทันที..ที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศรายชื่อ ครม.เศรษฐา 2