ประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย จะปรับเปลี่ยนการเมืองในประเทศและเวทีระหว่างประเทศอย่างไร?
หรืออีกนัยหนึ่ง คำถามคือ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอินโดนีเซียจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมือง ในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไร?
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ไปในเวทีการเมืองอินโดนีเซีย คือการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่าง ปราโบโว ซูเบียนโต ผู้ชนะเลือกตั้ง กับผู้นำคนปัจจุบันคือ โจโก "โจโกวี" วิโดโด
ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการชี้ว่า ปราโบโวได้คะแนน 57% ถึง 59% ของบัตรลงคะแนนทั้งหมด
ซึ่งเหนือกว่าคู่แข่งทั้งสอง
อดีตผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา Anies Baswedan ได้ 24% ถึง 25%
และอดีตผู้ว่าการชวากลาง Ganjar Pranowo ได้ 15% ถึง 17%
เป็นที่แน่ชัดว่า ปราโบโวอาศัยบารมีทางการเมืองของโจโกวีไม่น้อยในการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้
เพราะเขาเสนอชื่อให้ ยิบราน รากาบูมิง รากา (Gibran Rakabuming Raka) ลูกชายคนโตของโจโกวี เป็นคู่หูในตำแหน่งรองประธานาธิบดี
และได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง
อาจจะเป็นเพราะปราโบโวแพ้โจโกวีในการเลือกตั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ ในการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ถือได้ว่าเป็นเกมการเมืองที่แปลกไม่น้อย
เพราะทั้งสองเป็นคู่รักคู่แค้นในสนามการเมืองมาก่อน แต่เมื่อโจโกวีใช้ยุทธศาสตร์ “แปรศัตรูเป็นมิตร” ด้วยการเชิญปราโบโวมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม
และวางตัวเป็นทายาททางการเมือง
พร้อมส่งลูกชายไปประกบเพื่อส่งไม้ต่ออย่างราบรื่น
หนึ่งคือใช้ปราโบโวเป็นผู้ปูทางให้ลูกชายของตน
และสองเพื่อให้ลูกชายมีโอกาสได้เข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างค่อนข้างมั่นคง
การที่ปราโบโวได้รับคะแนนเสียงใกล้ 60% สะท้อนว่าเป็นการผสมผสานปัจจัยบวกทุกๆ ด้านที่ช่วยหนุนเนื่องให้ทายาททางการเมืองของโจโกวีได้รับเสียงสนับสนุนอย่างเข้มข้นทันที
แต่กว่าจะประกาศผลอย่างเป็นทางการยังมีเวลากว่าหนึ่งเดือน
เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.ของอินโดฯ มีเวลาจนถึงวันที่ 20 มีนาคมในการประกาศผลสุดท้ายอย่างเป็นทางการ
และกว่าปราโบโวจะรับตำแหน่งต่อจากโจโกวีก็ปาเข้าไปเดือนตุลาคมปีนี้
ซึ่งแปลว่าทุกคนมีเวลาเตรียมตัวทำงานกันอย่างเต็มที่
นักวิเคราะห์ที่อินโดฯ ระบุว่า ประเด็นความสนใจตอนนี้เปลี่ยนไปอยู่ที่วิธีการที่ปราโบโวจะสานต่อ ด้วยการประสานอำนาจของเขาก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม
และต้องลงรายละเอียดว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อจะได้วางแนวทางในการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการเลือกตั้ง
เพราะผู้รู้เรื่องการเมืองอินโดฯ ดีเชื่อว่านับจากนี้เป็นต้นไป เกมชิงอำนาจครั้งใหม่ระหว่างปราโบโวกับโจโกวีจะเริ่มต้นขึ้น
มองในแง่หนึ่ง หากมองจากมุมของปราโบโว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาจะ “กำจัด” โจโกวีอย่างไร จึงจะเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่นที่สุด
นั่นแปลว่า ทำอย่างไรจึงจะสลัดเงาของโจโกวีออกไปเพื่อเขาจะได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเต็มภาคภูมิ
นั่นหมายถึงการลดอิทธิพลของยิบราน ลูกชายของโจโกวี
และตีตัวออกห่างจากบารมีของโจโกวีให้มากที่สุด
แต่การจะทำอย่างนั้นได้ต้องทำอย่างเนียนๆ ไม่ให้มีภาพของการ “เนรคุณ”
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ให้เกิดความเชื่อว่าปราโบโวขาดความเป็นตัวของตัวเอง
เป็นการทดสอบที่ค่อนข้างยุ่งยาก
ในระหว่างการรณรงค์ ปราโบโวเน้นว่าเขาจะยังคงสานต่อนโยบายหลักของโจโกวี
นั่นรวมถึงการย้ายเมืองหลวงจากจาการ์ตาไปยังนูซันตารา เมืองใหม่ที่กำลังถูกสร้างขึ้นบนเกาะบอร์เนียว
และนโยบายทรัพยากรธรรมชาติที่อินโดนีเซียตั้งเป้าจะพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปภายในประเทศ มากกว่าที่จะส่งออกวัตถุดิบ
แต่มีคำถามว่าเขาจะสามารถทำตามสัญญาได้หรือไม่
นโยบายอันดับต้นๆ ของปราโบโวคือ แผนอาหารกลางวันและนมฟรีจำนวน 460 ล้านล้านรูเปียห์ (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) สำหรับโรงเรียนและแม่ตั้งครรภ์
รวมถึงการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ
แต่ประธานาธิบดีคนใหม่ก็ต้องชี้ให้ประชาชนเห็นว่า นโยบายที่ต้องใช้งบประมาณสูงขนาดนี้อาจส่งผลกระทบต่อวาระของโจโกวี
รวมถึงการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการใหม่ เงินทุนซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่า 466 ล้านล้านรูเปียห์ หรือที่เกิน 1 ล้านล้านบาททั้งหลาย
ความไม่แน่นอนยังคงเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการคลัง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเลือกใครมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญๆ
การแต่งตั้งรัฐมนตรีของปราโบโวจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะตลาดจะจับตาดูอย่างระมัดระวังว่า วินัยทางการคลังที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ศรี มุลยานี รักษาไว้จะยังคงอยู่หรือไม่
และมีคำถามว่า ปราโบโวจะเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลไปสู่ระดับสูงอย่างน่ากังวลหรือไม่
สำหรับประเทศไทยและสมาชิกอาเซียนอื่นๆ การขึ้นมาของปราโบโวมีความสำคัญ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการเปลี่ยนผู้นำของอินโดฯ ในรอบ 10 ปี
ความคุ้นชินกับโจโกวีต้องมีการปรับตัวให้เข้าใจสไตล์การทำงาน และวิธีคิดของผู้นำคนใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และยิ่งโลกผันผวนมากเพียงใด บทบาทของอาเซียนที่มีอินโดฯ เป็นประเทศใหญ่ที่สุดในแง่ประชากรและการทูตระหว่างประเทศก็จะยิ่งมีความสำคัญเพียงนั้น
เราต้องจับตาชนิดที่ว่างเว้นไม่ได้เลยจริงๆ!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


